2/19/2555

ฮือฮา! พบอุโมงค์ใต้ดินยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 พร้อมศพทหาร 21 นาย






ภาพจาก BNPS.co.uk

ขุดพบอุโมงค์ใต้ดินของกองทัพเยอรมนี สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ฝรั่งเศส พร้อมศพทหารอายุกว่า 94 ปี 21 นาย ถูกฝังอยู่ภายในด้วย...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 11 ก.พ. ว่า คนงานทำถนนของฝรั่งเศส ขุดพบอุโมงค์ใต้ดินของกองทัพเยอรมนี ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งมีสภาพเกือบสมบูรณ์โดยบังเอิญ ขณะปรับสภาพดินเพื่อก่อสร้างถนน ในบริเวณที่เคยถูกเรียกว่า 'แนวรบตะวันตก' ซึ่งเป็นแนวรบเก่าระหว่างกองทัพพันธมิตรกับเยอรมัน ตั้งแต่ปี 1914 นอกจากนี้ ยังพบศพทหารเยอรมันถูกฝังอยู่ภายในอีก 21 นายด้วย

อุโมงค์ที่พบ อยู่ลึกลงไปใต้ดินราว 5.5 เมตร มีความยาวโดยรวม 91 เมตร ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองคาร์สปาค ในแคว้นอาลซัส ทางตะวันออกของฝรั่งเศส โดยความใหญ่ของมันทำให้สามารถใช้เป็นที่ซ่อนตัวของทหารได้ถึง 5 กองร้อย และมีทางออกมากมายถึง 16 จุด


นักโบราณคดีของฝรั่งเศส เผยว่า อุโมงค์ดังกล่าวถูกเครื่องบินของกองทัพพันธมิตร ทิ้งระเบิดปูพรมถล่มจนทรุดตัวลง และฝังนายทหารเยอรมันทั้งเป็น จำนวน 34 นาย เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 1918 โดยศพของทหาร 13 นาย ถูกพบไม่นานหลังจากอุโมงค์ถล่ม แต่ที่เหลืออีก 21 นาย ยังคงถูกฝังอยู่ภายใน กระทั่งมีการค้นพบในครั้งนี้ ซึ่งพยังอยู่ในท่าและตำแหน่งเดียวกันกับช่วงเวลาที่อุโมงค์ถล่ม

นอกจากศพแล้ว นักโบราณคดียังพบข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของนายทหาร ทั้งรองเท้าหนัง หมวกเหล็ก ขวดไวน์ บุหรี่ สมุดบันทึก รวมถึงปืน ซึ่งอุปกรณ์เกือบทั้งหมดที่พบ ยังมีสภาพสมบูรณ์ เนื่องจากไม่ได้สัมผัสแสง น้ำ และอากาศมาเป็นเวลานาน นอกจากของจำพวกโลหะที่ถูกสนิมกินและเสืื่อมสภาพตามกาลเวลาเท่านั้น

หมวกทหารเยอรมัน

หมวกทหารเยอรมัน

ทั้งนี้ ศพของทหารทั้งหมดสามารถระบุตัวได้ครบแล้ว และจะถูกส่งกลับไปยังประเทศเยอรมนี แต่หากไม่มีญาติมารับ หรือคำร้องให้ส่งศพกลับมาตุภูมิ ศพทั้งหมดจะได้รับการประกอบพิธีและฝังที่เมืองอิลเฟิร์ธ ของฝรั่งเศสแทน.




ปืนพก

ปืนพก


ปืนยาว

ปืนยาว
โดย: ไทยรัฐออนไลน์

จีนเร่งพัฒนา ‘ก๊าซธรรมชาติ’ จาก ‘หินน้ำมัน’


โดย โรเบิร์ต เอ็ม คัตเลอร์ 18 กุมภาพันธ์ 2555 

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ http://www.atimes.com)

China shale-gas drive appears over-ambitious 
By Robert M Cutler 
17/02/2012

ประเทศจีน ซึ่งกลายเป็นผู้นำเข้าก๊าซธรรมชาติสุทธิไปแล้วตลอดช่วงระยะ 4 ปีที่ผ่านมา กำลังลงทุนหนักมากเพื่อให้ได้เทคโนโลยีที่จะนำมาใช้พัฒนาแหล่งสำรองก๊าซธรรมชาติจากน้ำมัน (shale gas) ที่มีอยู่อย่างมากมายของแดนมังกร 

อย่างไรก็ดี ปัญหาทางด้านธรณีวิทยาและความท้าทายทางเทคนิคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง บ่งชี้ให้เห็นว่าเป้าหมายปริมาณการขุดเจาะที่จีนกำหนดเอาไว้ น่าจะสูงเกินความเป็นจริงไปมาก 

มอนทรีล, แคนาดา – ประเทศจีนกำลังเสาะแสวงหาทางผลิตก๊าซธรรมชาติจากหินน้ำมัน (shale rock) ให้ได้ปริมาณสูงถึง 80,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ภายในปี 2020 ทั้งนี้ตามรายงานข่าวเกี่ยวกับร่างแผนการระดับชาติฉบับหนึ่ง ที่ได้ทราบมาจากผู้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบ 

แต่จากผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่กระทำโดยสำนักข่าว บลูมเบิร์ก นิวส์ (Bloomberg News) พวกเขาระบุว่าถ้าหากได้สัก 1 ใน 3 ของปริมาณดังกล่าวก็จะต้องถือว่าโชคดีแล้ว

องค์การสารสนเทศพลังงาน (Energy Information Administration หรือ EIA) แห่งกระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ (US Department of Energy) ให้ตัวเลขประมาณการไว้ว่า 

จีนมีก๊าซธรรมชาติจากหินน้ำมันที่ในทางเทคนิคสามารถขุดเจาะนำขึ้นมาใช้ได้ 36 ล้านล้านลูกบาศก์เมตร ขณะที่กระทรวงที่ดินและทรัพยากร (Ministry of Land and Resources) ของรัฐบาลจีนเอง ให้ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการไว้ที่ 31 ล้านล้านลูกบาศก์เมตร 

โดยในจำนวนนี้มีเพียง 25 ล้านล้านลูกบาศก์เมตรเท่านั้นที่เหมาะสมแก่การขุดค้นขึ้นมาจริงๆ

ทางกระทรวงเพิ่งประกาศในสัปดาห์นี้ว่า ในปีนี้จะให้น้ำหนักกับเรื่องการสำรวจและการประเมินคุณภาพของก๊าซธรรมชาติจากหินน้ำมัน ความเคลื่อนไหวเช่นนี้มีขึ้นภายหลังจากคณะรัฐมนตรีของจีน

ได้ประกาศเมื่อเดือนที่แล้ว ให้ก๊าซธรรมชาติจากหินน้ำมันเป็นทรัพยากรเหมืองแร่ “อิสระ” ซึ่งก็คือการเปิดโอกาสให้พวกบริษัทเอกชนของจีนเข้าไปดำเนินกิจการในภาคส่วนนี้ได้

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าตัวเลขของสหรัฐฯหรือของจีน ต่างยังไม่ได้พิจารณาอย่างจริงจังในเรื่องเกี่ยวกับสภาพทางธรณีวิทยาที่เป็นจริงของทรัพยากรนี้ที่อยู่ตามพื้นที่ส่วนต่างๆ ของแดนมังกร ตลอดจนระดับของความลำบากยุ่งยากที่จะต้องเกิดขึ้น เมื่อเข้าไปทำการพัฒนาขุดค้น 

ในทางเป็นจริงแล้ว สภาพทางธรณีวิทยาในจีนนั้นแตกต่างไปจากในสหรัฐฯ ทำให้ประเด็นปัญหาทางเทคนิคมีความลำบากยุ่งยากมากกว่า

ตลอดช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมา พวกบริษัทพลังงานของจีนออกตระเวนไปทั่วโลก (หรืออย่างน้อยที่สุดก็ออกตระเวนไปในอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นอาณาบริเวณที่การพัฒนาหลักวิชาทางด้านนี้ก้าวไปไกลที่สุด) เพื่อค้นหาเทคโนโลยีเรื่องก๊าซธรรมชาติจากหินน้ำมัน 

รวมทั้งเทคโนโลยีการขุดเจาะที่เรียกว่า hydraulic fracturing หรือ "fracking" ซึ่งพวกเขาจะสามารถนำไปใช้เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ภายในแดนมังกรเอง ในปี 2011 รัฐวิสาหกิจของจีนหลายๆ แห่งได้ไปลงทุนในแคนาดากันยกใหญ่ 

โดยในจำนวนการลงทุนร่วม ๆ 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯที่พวกเขาใช้จ่ายไปเพื่อซื้อบริษัทพลังงานต่างๆ ในระยะเวลาดังกล่าวนั้น เกือบๆ 1 ใน 3 ทีเดียวเป็นการลงทุนในแคนาดา

เป็นต้นว่า ซิโนเปก (Sinopec) เข้าซื้อบริษัทเดย์ไลต์ เอเนอจี (Daylight Energy Ltd) ด้วยราคาประมาณ 2,200 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการเข้าซื้อกิจการต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดของรัฐวิสาหกิจแห่งนี้ในปี 2011 ทั้งนี้ด้วยความประสงค์ที่จะเข้าถึงแหล่งสำรองก๊าซธรรมชาติจากหินน้ำมันในแคนาดา 

ทางด้าน เปโตรไชน่า (PetroChina) ได้มีการพูดจากับ เอนคานา คอร์ป (Encana Corp) เพื่อขอซื้อทรัพย์สินใน คัตแบงก์ ริดจ์ (Cutbank Ridge) ของฝ่ายหลัง จวบจนกระทั่งมองเห็นกันว่าความแตกต่างทางด้านราคาที่พึงประสงค์ของแต่ละฝ่ายนั้นไม่สามารถประนีประนอมให้ลงรอยกันได้แล้ว 

ทำให้ฝ่ายจีนถอนข้อเสนอซื้อที่ให้ตัวเลขไว้ที่ 5,400 ล้านดอลลาร์กลับคืนไปจากโต๊ะเจรจา ก่อนหน้านั้นในปีเดียวกัน เปโตรไชน่า ก็ได้จ่ายเงินกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อหุ้นประมาณ 1 ใน 5 ในโครงการก๊าซธรรมชาติจากหินน้ำมันโครงการหนึ่งของบริษัทโรยัล ดัตช์ เชลล์ (Royal Dutch Shell Plc) ในบริเวณภาคตะวันตกของแคนาดา

เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่ฝ่ายจีนต้องบุกเข้าไปในสหรัฐฯด้วย โดยที่ เปโตรไชน่าประกาศเข้าลงทุนเป็นมูลค่า 2,500 ล้านดอลลาร์ในแหล่งใหม่ๆ ที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาโดยบริษัทเดวอน เอเนอจี (Devon Energy) ของสหรัฐฯ ตามรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ (Financial Times) 

ตัวเลขกลมๆ นี้แบ่งเป็นเงินสดจำนวน 900 ล้านดอลลาร์ และที่เหลือเป็นการเข้าแบกรับ 80% ของค่าใช้จ่ายด้านการพัฒนาของเดวอน ถึงแม้สิ่งที่ฝ่ายรัฐวิสาหกิจจีนจะได้รับ คือหุ้นแค่ 1 ใน 3 เท่านั้น 

เห็นกันว่าการลงทุนทั้งหมดเหล่านี้ คือความมุ่งมั่นต้องการเข้าถึงเทคโนโลยีก๊าซธรรมชาติจากหินน้ำมัน โดยเฉพาะเทคโนโลยี hydraulic fracturing นั่นเอง

อย่างไรก็ดี เนื่องจากสภาพทางธรณีวิทยาของหินน้ำมันในอเมริกากับในจีนมีความแตกต่างกัน ทำให้ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าการถ่ายทอดเทคโนโลยีจะกระทำกันในลักษณะไหน สินแร่หินน้ำมันในจีนนั้นอยู่ระดับลึกลงไปใต้ดินมากกว่าที่ปรากฏในสหรัฐฯ 

ซึ่งเวลานี้ก๊าซธรรมชาติจากหินน้ำมันได้กลายเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในซัปพลายเชื้อเพลิงโดยรวมของประเทศไปแล้ว ข้อเท็จจริงเรื่องสภาพทางธรณีวิทยา เมื่อบวกกับเรื่องที่การก่อตัวของหินน้ำมันในจีนยังมีความซับซ้อนยุ่งยากมากกว่าในอเมริกาเหนืออีกด้วย 

ทำให้คาดหมายได้ว่าจะไปเพิ่มต้นทุนในการขุดค้น ยิ่งไปกว่านั้น ตามการศึกษาของ นีล เบเวอริดจ์ (Neil Beveridge) แห่งบริษัทแซนฟอร์ด ซี เบิร์นสไตน์ แอน โค. (Sanford C Bernstein & Co.) ที่บลูมเบิร์ก นิวส์ หยิบยกขึ้นมาอ้างอิงนั้น

“วิทยาการแร่ (mineralogy) ของหินน้ำมันในประเทศจีน โดยพื้นฐานแล้ว ... ไม่ใช่มาจากทะเล ซึ่งหมายความว่า ... มีส่วนประกอบของดิน (สูงกว่า) และทำให้แตกร้าวได้ยากกว่า”

ประเทศจีนกลายเป็นผู้นำเข้าก๊าซธรรมชาติสุทธิมาตั้งแต่ปี 2007 ถ้าหากการพัฒนาก๊าซธรรมชาติจากหินน้ำมันของแดนมังกรเองมีอันต้องล่าช้าออกไปแล้ว ก็จำเป็นที่จะต้องเพิ่มการสั่งซื้อมาจากพวกซัปพลายเออร์ต่างประเทศ 

ในช่วงสิ้นปีที่แล้ว เติร์กเมนิสถานได้ตกลงเพิ่มการส่งออกก๊าซธรรมชาติให้แก่จีน โดยเป็นก๊าซที่มาจากแหล่งเซาท์ โยโลทาน (South Yolotan) ซึ่งจีนกำลังช่วยเหลือในการพัฒนา จากปริมาณที่เคยตกลงไว้เดิมซึ่งอยู่ที่ 40,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ก็ปรับขึ้นเป็น 65,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี 

นอกจากนั้นในเวลานี้ยังกำลังมีการก่อสร้างสายท่อส่งก๊าซซึ่งจะลำเลียงก๊าซธรรมชาติปริมาณ 12,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีจากพม่า โดยมีกำหนดที่จะเริ่มให้บริการได้ในปี 2013 เรื่องก๊าซธรรมชาติตลอดจนน้ำมันยังเป็นหัวข้อที่ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือกัน ในระหว่างที่นายกรัฐมนตรี สตีเฟน ฮาร์เปอร์ (Stephen Harper's) ของแคนาดา เยือนปักกิ่งในเดือนนี้

จีนยังมีทางเลือกที่จะซื้อหาก๊าซรัสเซียจากไซบีเรียอีกด้วย โดยผ่านทางสายท่อส่ง 2 สาย แต่ละสายมีความสามารถในการลำเลียงขนส่งก๊าซธรรมชาติระหว่าง 28,000 ล้าน ถึง 39,000 ล้าน ลูกบาศก์เมตรต่อปี อย่างไรก็ตาม ถึงแม้บันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ระหว่างจีนกับรัสเซียในเรื่องโครงการต่างๆ เหล่านี้ 

ได้มีการลงนามกันไปแล้วตั้งแต่เมื่อ 6 ปีก่อน อีกทั้งได้มีการเจรจาต่อรองกันมาหลายต่อหลายรอบ รวมทั้งการหารือกันระหว่างผู้บริหารทางการเมืองระดับสูงสุดของแต่ละฝ่าย ทว่าก็ยังไม่มีการทำสัญญาที่ชัดเจนกันเสียที เนื่องจากยังคงตกลงกันไม่ได้ในเรื่องราคา 

แถมทั้งสองฝ่ายมีท่าทีที่จะต่อรองกันอย่างสุดฤทธิ์ และไม่มีหลักประกันเลยว่าจะบรรลุข้อสรุปสุดท้ายกันได้

ทางด้าน ซีนุค (CNOOC) และเปโตรไชน่า ยังได้ไปลงนามสัญญาซัปพลายระยะยาวเอาไว้แล้วหลายฉบับ เพื่อการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในปริมาณเท่ากับก๊าซธรรมชาติร่วมๆ 31,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี โดยเป็นการทำสัญญากับพวกกิจการทางเอเชียซึ่งได้แอลเอ็นจีจาก ออสเตรเลีย, อินโดนีเซีย, และมาเลซีย

ตามรายงานของนิตยสารบิสซิเนสวีก (Businessweek) บริษัท จีดีเอฟ สุเอซ (GDF Suez) ของฝรั่งเศส ให้ตัวเลขประมาณการเอาไว้ว่า ภายในปี 2020 จีนน่าจะจำเป็นต้องนำเข้าแอลเอ็นจีคิดเป็นปริมาณเท่ากับก๊าซธรรมชาติ 46,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี 

ถึงแม้จะต้องยอมรับว่าการประมาณการดีมานด์ความต้องการของจีนในช่วงเวลา 10 ปีนั้น เกือบๆ จะต้องใช้ศิลปะเท่าๆ กับการใช้วิทยาศาตร์ทีเดียว และตัวเลขประมาณการที่ออกมาอาจจะแตกต่างกันด้วยปัจจัยหนึ่งหรือสองประการ 

หรือกระทั่งเนื่องมาจากการพึ่งพาอาศัยระเบียบวิธีศึกษาที่ต่างกัน หรือกระทั่งจากการที่ไม่ได้ใช้ระเบียบวิธีอะไรทั้งสิ้น กระนั้นก็ตาม โดยภาพแล้วแล้ว เป็นที่คาดหมายกันว่าการขาดแคลนไม่เพียงพอน่าจะอยู่ในอัตราส่วนที่สูงทีเดียว 

ยกเว้นแต่เศรษฐกิจจีนที่ปัจจุบันยังมีการเติบโตขยายตัวได้อย่างมีชีวิตชีวา ต้องประสบความเสียหายเกิดการดำดิ่งอย่างแรง หรือ “ฮาร์ด แลนดิ้ง” (hard landing) เท่านั้น

ดร. โรเบิร์ต เอ็ม คัตเลอร์ http://www.robertcutler.org) สำเร็จการศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (เอ็มไอที) และมหาวิทยามิชิแกน และได้ทำงานวิจัยกับเป็นผู้บรรยายให้แก่มหาวิทยาลัยหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา แคนาดา ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ และรัสเซีย 

ปัจจุบันเป็นนักวิจัยอาวุโสของสถาบันยุโรป รัสเซีย และ ยูเรเชียศึกษา (Institute of European, Russian and Eurasian Studies) ซึ่งสังกัดอยู่ในมหาวิทยาลัยคาร์ลตัน ( Carleton University) ประเทศแคนาดา พร้อมกับนี้เขายังให้คำปรึกษาเป็นการส่วนตัวในหลายสาขา 


ขอบคุณ 
ผู้จัดการออนไลน์
ดร. โรเบิร์ต เอ็ม คัตเลอร์ 

ชำแหละสารพัด "ทฤษฎี" โลกแตกแน่ๆ








ชำแหละสารพัด "ทฤษฎี"
โลกแตกแน่ๆ - 21 ธ.ค.2012




คําทำนายโลกแตกที่ลือหนัก ทั้งในโลกจริงๆ และโลกไซเบอร์ถึงคำทำนายวันโลกาวินาศ วันสิ้นโลก หรือ วันโลกแตก ก็ยังคงไม่ผ่อนคลายหายไปง่ายๆ

โดยเฉพาะคำทำนายสารพัดทฤษฎีสมคบคิด ที่ฟันธงว่า 21 ธันวาคม ค.ศ.2012 (พ.ศ.2555) นี้มีแนวโน้มสูงมากที่โลกมนุษย์จะถึงกาลอวสานอย่าง แน่นอน!?

เพื่อไขข้อข้องใจในหมู่ประชาชนคนไทยให้กระจ่างอีกครั้ง เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทาง องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ หรือ อพวช. จึงได้ร่วมมือกับ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ หรือ สดร. 

จัดงานเสวนาโลกาวินาศ วิทยาศาสตร์วิพากษ์ และพยากรณ์ ในหัวข้อเรื่อง "2012 ฤาโลกจะสูญสิ้น" ที่จัตุรัสวิทยาศาสตร์ อพวช. อาคารจามจุรีสแควร์

จุดประสงค์ก็เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับเหตุการณ์และปรากฏการณ์ต่างๆ โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนา ได้แก่ ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการ สดร., ดร.บัญชา ธนสมบัติ นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ จากสถาบันพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. และ ดร.พิชัย สนแจ้ง ผู้อำนวยการ อพวช.


ดร.บัญชา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์จาก สวทช. เริ่มต้นการเสวนาด้วยการระบุถึงที่มาของข่าวลือดังกล่าวว่า 

น่าจะเริ่มมาจากหนังสือที่เขียนขึ้นโดย นายไมเคิล ดี. โค นักโบราณคดีชาวสหรัฐ

กล่าวถึงมหาหายนะของโลกที่อาจเกิดขึ้นในปี 2012 โดยเชื่อมโยงเข้ากับวันสิ้นสุดปฏิทินในปฏิทินประเภท "ลองเคาต์" ของชาวมายา ในอารยธรรมโบราณ ที่มีถิ่นฐานตั้งอยู่บริเวณทวีปอเมริกากลาง ช่วง 2,000 ปีก่อนคริสตกาล จนถึง ค.ศ.900 

ชาวมายาใช้ปฏิทินประเภทดังกล่าวเพื่ออ้างอิง บันทึกประวัติศาสตร์และทำนายอนาคต แบ่งเป็นสองชนิด ได้แก่ แบบยาว มีระยะเวลา 1 รอบปฏิทิน เท่ากับ 63 ล้านปี หรือ 23,040,000,000 วัน

และแบบสั้น มีระยะเวลา 1 รอบปฏิทิน เท่ากับ 5,125 ปี หรือ 1,872,000 วัน ซึ่งจะครบ 1 รอบพอดีในวันที่ 21 ธ.ค.ปีนี้

"ชาวมายามีความเชื่อในเรื่องตำนานการสร้างสรรพสิ่ง ของเทพแห่งท้องฟ้าและมหาสมุทรว่า ในยุคแรกได้สร้างสัตว์ขึ้นมา แต่สัตว์พูดและบูชาเทพเจ้าไม่ได้ จึงถูกทำลายทิ้ง 

ต่อมาในยุคที่ 2 สร้างมนุษย์ขึ้นจากโคลน แต่มีข้อเสียคือปวกเปียกและไม่มั่นคงจึงถูกทำลายทิ้งอีก 

ต่อมาในยุคที่ 3 สร้างมนุษย์ขึ้นจากไม้ แต่กลับทำลายธรรมชาติ และไม่เคยสรรเสริญพระองค์ จึงถูกกวาดล้างครั้งใหญ่ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของยุคปัจจุบัน เป็นยุคที่ 4 

โดยมนุษย์ถูกสร้างขึ้นจากแป้งข้าวโพด และมีความเจริญรุ่งเรือง โดยวันสิ้นสุดของยุคที่ 4 จะตรงกับวันที่ 21 ธ.ค.ปีนี้ตามปฏิทินดังกล่าวของชาวมายา 

ซึ่งมีการทำนายไว้ว่า จะบังเกิดทั้งสิ่งประเสริฐและสิ่งเลวร้าย ทั้งยังเป็นวันเหมายัน คือ กลางวันสั้นที่สุด และกลางคืนยาวที่สุดในรอบปีของปฏิทินสุริยคติ หรือปฏิทินสากลที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน"

ดร.บัญชายังกล่าวถึงอีกแนวคิดที่ระบุถึงทฤษฎีอวสานโลก ว่า มาจากหนังสือ "เดอะ เทวลฟ์ แพลเน็ต" เขียนโดย นายเซชาเรีย ซิตชิน นักเขียนชาวสหรัฐ ผู้นำเสนอทฤษฎีจุดกำเนิดของมนุษยชาติ โดยอ้างอิงจากการตีความหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ค้นพบจาก "ชาวสุเมเรียน" 

โดยนายซิตชินอ้างถึงภาพพิมพ์โบราณของตราประทับ เรียกว่า "ไซลินเดอร์ ซีล วีเอ 243" ซึ่งตรงมุมซ้ายบนปรากฏภาพคล้ายดวงอาทิตย์ถูกห้อมล้อมด้วยจุด 11 จุด รวมเป็น 12 จุด แทนดาวทั้ง 12 ดวงในระบบสุริยะ 

จึงตีความว่า ยังมีดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ที่มนุษย์ปัจจุบันยังไม่ค้นพบชื่อว่า "นิบิรู" อ้างว่ามีลักษณะวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ ที่เป็นวงรีมากทำให้นักดาราศาสตร์ปัจจุบันยังไม่ค้นพบ และมีรอบโคจร 3,600 ปี ซึ่งอาจจะเข้ามาใกล้หรือชนโลก ในเวลา 11.11 น. ตามเวลามาตรฐานกรีนนิช หรือตรงกับเวลา 18.11 น. ตามเวลาไทย


ดร.ศรัณย์ รองผู้อำนวยการ สดร. กล่าวแย้งทฤษฎีโลกาวินาศของนายซิตชิน ว่า เป็นไปไม่ได้

เนื่องจากหากเป็นไปตามวงโคจรที่นายซิตชินกล่าวอ้างไว้ ขณะนี้ดาวนิบิรูจะต้องอยู่ห่างจากโลกประมาณ 4 หน่วยดาราศาสตร์ (เอยู) หรือราว 600,000,000 กิโลเมตร ใกล้เคียงกับวงโคจรของดาวพฤหัสบดี 

ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีใครพบเห็นดาวเคราะห์ดวงนี้ รวมทั้งไม่ใช่ดาวฤกษ์หรือดาวแคระน้ำตาล เพราะด้วยค่าความสว่างระดับดังกล่าวมนุษย์จะสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าแม้ในเวลากลางวัน และจะสว่างยิ่งกว่าดวงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ

จึงเห็นว่าดาวนิบิรูไม่น่าจะมีอยู่จริง 

ส่วนเรื่องของทฤษฎีการพุ่งชนของเทหวัตถุนอกโลกนั้น ดร.ศรัณย์กล่าวว่า ประเด็นนี้มีความเป็นไปได้

เพราะในอดีตเคยเกิดขึ้นมาแล้ว และอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้สิ่งมีชีวิตกว่า 3 ใน 4 ของโลกต้องล้มตายไปในยุคไดโนเสาร์ 

การชนของอุกกาบาตในครั้งนั้นทิ้งร่องรอยเป็นหลุมที่มีความ กว้างไว้หลายร้อยกิโลเมตร 

อย่างไรก็ตาม การชนในระดับนี้จะเกิดขึ้นเฉลี่ยราว 100 ล้านปี และหลายประเทศมีโครงการหลายโครงการ ที่ค้นหาและติดตามวัตถุที่มีขนาดใหญ่กว่า 200 เมตร ที่มีวงโคจรเข้าใกล้โลกไม่เกิน 7.2 ล้านกิโลเมตร 

ล่าสุด มีการค้นพบเทหวัตถุที่มีความเสี่ยงชนโลกแล้ว 1 ดวง ชื่อรหัสว่า "1950 ดีเอ" มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.1 กิโลเมตร และอาจพุ่งเข้าชนโลกในวันที่ 16 มี.ค. ปี ค.ศ.2880 ซึ่งมีอัตราความเสี่ยงการชนอยู่ที่ร้อยละ 0.33


อีกหนึ่งทฤษฎีโลกาวินาศที่ได้รับการกล่าวถึง คือ การเรียงตัวของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะในวันที่ 21 ธ.ค.55 นี้ 

โดยเชื่อว่าจะสร้างผลกระทบที่เลวร้ายบนโลก 

ดร.ศรัณย์ระบุว่า สำหรับเรื่องนี้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ในปัจจุบันเพียงพอ ที่จะคำนวณและพยากรณ์เรื่องนี้ได้อย่างแม่นยำ และไม่พบว่าจะมีการเรียงตัวดังกล่าวเกิดขึ้นในปีนี้ 

ที่ผ่านมาในอดีตการเรียงตัวเกิดขึ้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ครั้งล่าสุดคือเดือน พ.ค. ปี ค.ศ.2000 และจะไม่สร้างผลกระทบที่เลวร้ายต่อโลก เนื่องจากอิทธิพลที่จะมีผลต่อโลกมีเพียงแรงโน้มถ่วง ของดาวเคราะห์ แต่ดาวเคราะห์ต่างๆ อยู่ห่างไกลออกไปมาก 

จากการคำนวณพบว่าแรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์ทุกดวง รวมกันจะเท่ากับ 1 ใน 200 ส่วนของแรงโน้มถ่วงสูงสุดของดวงจันทร์ 

ขณะที่ผลของแรงน้ำขึ้นน้ำลงที่มีต่อโลกนั้นคำนวณแล้วพบว่า ดาวเคราะห์ทุกดวงรวมกันจะมีผลเท่ากับ 64 ในล้านส่วนของดวงจันทร์ ซึ่งการเรียงตัวครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในวันที่ 8 ก.ย. ปีค.ศ.2080

ดร.ศรัณย์ยังกล่าวถึงทฤษฎีสิ้นโลกที่ว่า "หลุมดำ" ใจกลางกาแล็กซีทางช้างเผือก อาจกลืนโลกเข้าไปทั้งใบในวันที่ 21 ธ.ค.นี้ ด้วยว่า 

หลุมดำดังกล่าวชื่อว่า "ซาจิตทาเรียส เอ" อยู่ห่างจากระบบสุริยะไปราว 26,000 ปีแสง และดวงอาทิตย์นั้นโคจรรอบกาแล็กซีอยู่แล้วทุกปีตามสุริยวิถี 1 รอบ ใช้เวลา 100 ล้านปี 

โดยการระบุว่าระบบสุริยะจะโคจรเข้าไปใกล้หลุมดำ และอาจถูกดูดเข้าไปเป็นเพียงคำกล่าวอ้างที่ไม่เป็นจริง เพาะแม้หลุมดำจะมีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ 4.1 ล้านเท่า แต่ดวงอาทิตย์มีอิทธิพลของแรงโน้มถ่วง กระทำต่อโลกมากกว่าหลุมดำถึง 1 แสนล้านเท่า 

ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ หรือต่อให้ถูกดูดเข้าไปด้วยความเร็วเท่าแสง ยังต้องใช้เวลาอีกถึง 26,000 ปี กว่าจะถึงหลุมดำ!?

ขณะที่ ดร.บัญชาไขความกระจ่าง ถึงทฤษฎีการเปลี่ยนขั้วของสนามแม่เหล็กโลกเพิ่มเติมว่า 

ที่ผ่านมาในอดีตโลกมีการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยมีการพบหลักฐาน การที่สิ่งมีชีวิตลดจำนวนลงอย่างมีนัยสำคัญ ระหว่างและหลังการเปลี่ยนขั้วแม้แต่ครั้งเดียว 

รวมทั้งระยะเวลาที่เปลี่ยนนั้นยาวนานเป็นพันปี ตลอดจนจะไม่ส่งผลต่อการกลับทิศของขั้วโลกและโลกจะไม่หมุนกลับด้าน

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าสนามแม่เหล็กโลก ที่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันรังสีและอนุภาคต่างๆ อาจอ่อนตัวลงบ้างแต่ไม่ถึงระดับอันตราย


สําหรับทฤษฎีโลกาวินาศแนวทางสุดท้าย ที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง คือ ภัยคุกคามจากดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะ หลังการลุกจ้าของดวงอาทิตย์ หรือ โซลาร์แฟล ครั้งรุนแรง พุ่งเข้าปะทะสนามแม่เหล็กโลก เมื่อ 24 ม.ค.ที่ผ่านมา ทำให้เกิดแสงเหนือ (ออโรร่า) ในขั้วโลกเหนือ 

ดร.บัญชาระบุว่า กิจกรรมของดวงอาทิตย์แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ ลมสุริยะ (High Speed Solar Wind) ซึ่งถูกพัดออกมาอยู่ตลอดเวลา และอาจจะมีกระเพื่อมบ้าง แต่ไม่อันตรายเท่ากับการลุกจ้า หรือ โซลาร์แฟล ที่คล้ายการระเบิดของรังสีเอกซเรย์ 

แต่ที่อันตรายจริงๆ คงจะเป็นการ "พ่นมวลโคโรนา" หรือ ซีเอ็มอี และการ "พ่นอนุภาคพลังงาน" หรือเอสอีพี ซึ่งหากมนุษย์ถูกระดมยิงด้วยอนุภาคดังกล่าวอาจถึงแก่ชีวิตได้ โดยซีเอ็มอีเกิดขึ้นเฉลี่ยทุกๆ 11 ปี 

ครั้งล่าสุดเมื่อปี 2543 และจากเกิดขึ้นครั้งต่อไปประมาณเดือน ก.พ.ปีหน้า

"ปัญหาความวิตกกังวลที่กำลังแผ่ขยายไปในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเกิดจากความไม่รู้ หรือคิดว่ารู้ นับตั้งแต่มีโลกอินเตอร์เน็ตทำให้ข่าวลือแพร่ไปได้รวดเร็วมาก..

"แต่สังคมโลกใช้ฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์น้อยเกินไป ทำให้เตลิดเปิดเปิง แต่ไปใช้ความเชื่อทางอื่นแทน ทำให้บ่อยครั้งซ้ำเติมให้เรื่องราวนั้นเลวร้ายลงไปอีก.. 

"การแก้ปัญหาจึงควรเป็นการให้ข้อมูลและปูฐานความรู้ที่ถูกต้อง" ดร.บัญชากล่าว

บ่อยครั้งที่วิทยาศาสตร์มักสวนทางกับความเชื่อ 
วันสิ้นโลกอาจไม่มีใครตอบได้แน่นอน 
แต่สำคัญที่สุด คือ การดำรงตนอยู่บนความไม่ประมาท 

และต้องระวังไม่ให้ตัวเอง "เสียสติ" จากการรับข้อมูลทะลักล้นจนเกินไปเสียก่อน!

หน้า 21


ขอบคุณ ข่าวสดออนไลน์