3/01/2555

คนเรารู้สึก“เสียใจ”กับเรื่องอะไรบ้าง ก่อนเสียชีวิต?

หลังจากวันแห่งความรักผ่านไป ขออนุญาตซึ้งแบบพลิกอารมณ์สักหน่อยนะครับ บทความชิ้นนี้ตั้งใจว่า หลังจากที่เพื่อนๆ ให้ความรักกับคนรอบข้างแล้ว ลองมาดูว่า จะรักและตระหนักกับการใช้ชีวิตของตัวเองให้มีคุณค่ามากขึ้นได้อย่างไร
ก่อนหน้านี้ เคยนำเสนอบทความเรื่อง “ก่อนตาย”…เราเห็นอะไร? ที่ได้ไปสำรวจคนจำนวนหนึ่งที่หัวใจของพวกเขาเคยหยุดเต้น และฟื้นขึ้นมาจากการปั๊มหัวใจ ว่าในเวลาที่หัวใจของพวกเขากำลังจะหยุดเต้นนั้น เขาเห็นอะไรกันบ้าง บทความนี้อาจจะนับเป็นอีกภาคหนึ่งก็ได้ เพราะมันกำลังจะบอกเราว่า คนที่ป่วยหนักและรู้ตัวว่ากำลังจะเสียชีวิต เขารู้สึกเสียใจเรื่องอะไรบ้าง

Old Thai woman, near Chiang Rai
รอยยิ้มที่แสนน่ารักของคุณยายชาวเชียงรายใกล้สามเหลี่ยมทองคำ

หนังสือขายดีใน Amazon เล่มหนึ่ง ชื่อว่า “The Top Five Regrets of the Dying” เขียนโดย Bronnie Ware ซึ่งเป็นคนดูแลผู้ป่วยที่รู้ตัวว่ากำลังจะเสียชีวิตและกลับไปอยู่ที่บ้านเพื่อรอวันตาย โดยเธอจะอยู่กับผู้ป่วยเหล่านี้ในช่วงสามถึงสิบสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่ผู้ป่วยจะเสียชีวิต ในช่วงเวลาดังกล่าว เธอได้มีโอกาสพูดคุยและรับฟังความในใจของผู้ป่วยเหล่านี้ เมื่อถามถึงสิ่งที่เสียใจหรือสิ่งใดๆ ก็ตามที่อยากจะย้อนอดีตไปเปลี่ยนแปลงนั้น เธอพบว่ามีอยู่ห้าประเด็นหลักๆ

ประเด็นแรก พวกเขาน่าจะใช้ชีวิตตามความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง มากกว่าตามความคาดหวังของคนอื่น (I wish I’d had the courage to live a life true to myself, not the life others expected of me.)
เกือบทุกคนที่กำลังจะเสียชีวิตจะพูดถึงประเด็นนี้ เมื่อพวกเขารู้ตัวว่าชีวิตได้ล่วงเลยมาจนถึงขั้นนี้แล้ว และย้อนกลับไปมองอดีต เขาจะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่าอะไรที่อยากทำ อะไรที่ได้ทำ และอะไรที่ยังไม่ได้ทำ
กว่าพวกเขาจะรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่ควรจะเดินตามความฝันของตัวเอง หรืออย่างน้อยก็แค่พยายาม มันก็สายเกินไป สุขภาพของพวกเขาเอาอิสรภาพในการตัดสินใจทำไปจากพวกเขาแล้ว และก็ไม่มีวันจะคืนให้เขาอีกต่อไป

ประเด็นที่สอง พวกเขาจะไม่ทำงานหนัก (I wish I didn’t work so hard.)
งานหนักที่พวกเขาเคยรู้สึกว่าไม่ทำไม่ได้นั้น พาพวกเขาออกห่างจากชีวิตส่วนตัว ลูกๆ ครอบครัว และคนสำคัญของชีวิต พวกเขาไขว่คว้าและวิ่งตามแต่เงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ หรือแม้กระทั่งการยอมรับจากคนที่อยู่นอกวงกลมของชีวิต โดยที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าตัวเองทำอย่างนั้น
พวกเขาคิดว่าพวกเขาน่าจะมีตารางเวลาที่ดี แสวงหาเงินทอง ชื่อเสียง หรือเกียรติยศเท่าที่พอเพียง และแบ่งเวลาไปให้กับชีวิตส่วนตัว ลูกๆ ครอบครัว และคนสำคัญของชีวิต เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมื่อพวกเขาหมดลมหายใจ จะไม่มีอะไรที่ติดตัวพวกเขาไปเลยสักอย่างเดียว

ประเด็นที่สาม พวกเขาน่าจะกล้าแสดงความรู้สึกของตัวเองให้มากกว่านี้ (I wish I’d had the courage to express my feelings.)
คนจำนวนมากเก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ข้างใน เพราะเกรงใจ เพราะกลัวคนจะว่า เพราะกลัวจะไปขัดใจคนอื่น แต่ความรู้สึกเหล่านั้นจะนำมาซึ่งความเครียด และความรู้สึกไม่ดีกับตัวเองในภายหลัง นอกจากนี้ ความต้องการแสดงความรู้สึกของตัวเองไม่ได้มีเฉพาะด้านลบเท่านั้น พวกเขายังไม่แทบจะไม่ได้แสดงความรู้สึกดีดีออกไปให้บางคนที่ได้รับรู้ในสถานการณ์นั้นๆ เมื่อเวลาผ่านมา จนถึงที่พวกเขากำลังจะเสียชีวิต หลายคนก็เสียชีวิตไปก่อนเขา และหลายครั้งมันก็เลยสถานการณ์นั้นๆ มานานแล้ว
หากพวกเขาได้แสดงความต้องการออกไปอย่างที่ตัวเองรู้สึก ทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดีนั้น จะทำให้พวกเขาไม่มีอะไรค้างคาอยู่ในใจ รู้สึกดีกับตัวเองมากกว่านี้ และเป็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง

ประเด็นที่สี่ พวกเขาจะอยู่กับเพื่อนเก่าๆ ให้นานกว่านี้ (I wish I had stayed in touch with my friends.)
บ่อยครั้งที่พวกเขารับรู้ถึงความสุขที่แท้จริงจากการได้อยู่กับเพื่อนเก่าๆ ก็ต่อเมื่อตัวเขาเองกำลังจะเสียชีวิตลง หรือเพื่อนๆ ของเขาเหล่านั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว ที่ผ่านมา พวกเขาก็ห่างเหินจากเพื่อนเก่าๆ ที่สนิทกันมากๆ ไปเป็นปีๆ และเมื่อพวกเขากำลังจะเสียชีวิต พวกเขาก็รู้สึกเสียใจกับช่วงเวลาที่ผ่านมา
มันอาจจะดูเป็นเรื่องธรรมดาที่ชีวิตอันยุ่งเหยิงจะพาเราออกจากเพื่อนๆ แต่เมื่อเรากำลังจะเสียชีวิตลง พวกเขากลับต้องการเพื่อนๆ พูดคุย เห็นหน้า ดูหนังด้วยกัน ไปเที่ยวกัน มากกว่าเรื่องอื่นๆ เสียอีก

ประเด็นที่ห้า พวกเขาน่าจะทำให้ชีวิตมีความสุขมากกว่านี้ (I wish that I had let myself be happier.)
เป็นเรื่องน่าแปลกใจมาก เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่กำลังจะเสียชีวิตกลับตระหนักว่า ความสุขนั้นอยู่ที่ตัวเราเอง พวกเขาดำเนินชีวิตแบบเดิมๆ ใช้ชีวิตแบบซ้ำๆ แล้วก็หลอกตัวเองว่าสิ่งที่ทำอยู่มันดีอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งก็เพราะกลัวการเปลี่ยนแปลง หรือไม่ก็ไม่อยากจะลำบากต้องเปลี่ยนแปลงอะไร
เมื่อพวกเขากำลังจะเสียชีวิต และย้อนเวลากลับไปนึกถึง พวกเขารู้สึกว่าความสุขในชีวิตนั้น เกิดจากสิ่งที่เขาเลือก อะไรก็ตามที่ทำอยู่ซ้ำๆ จะไม่ได้ให้อะไรกับชีวิตมากนัก แต่จุดเปลี่ยนแปลงของชีวิตที่เป็นไปตามความต้องการของตนเองนั้น ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว มีความหมายกับชีวิตมากกว่านัก

Thailand
รอยยิ้มที่ดูจริงใจมากของชายไทยชาวชนบทคนหนึ่ง



ที่มา  http://setthasat.com/2012/02/16/the-top-five-regrets-of-the-dying/

"จดโน้ต” อย่างไรให้เวิร์ค?

เวลานั่งเรียนหรือนั่งฟังสัมมนา แล้วมีกระดาษว่างๆ วางอยู่ หน้ากระดาษแผ่นนั้นก็คือทรัพยากรที่มีจำกัด เคยสงสัยกันไหมว่า จะจดอย่างไรบนหน้ากระดาษแผ่นนั้นให้เกิดการจัดสรรที่เป็นประโยชน์สูงที่สุด แนวทางการจดโน้ตของมหาวิทยาลัย Cornell จะช่วยให้เราแบ่งหน้ากระดาษได้อย่างมีประสิทธิภาพ
[1]

วิธีการจดโน๊ตแบบ Cornell (Cornell Note-taking) เป็นวิธีการบันทึกที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง และมีงานวิจัยจำนวนมากรองรับว่าเป็นวิธีการใช้พื้นที่หน้ากระดาษได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Jacobs (2008) ได้นำเสนองานวิจัยที่ยืนยันว่าวิธีการจดโน๊ตแบบ Cornell มีประสิทธิภาพจริง โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้จดเน้นการสังเคราะห์ (Synthesize) และประยุกต์ใช้ความรู้ (Apply Learned Knowledge) แต่ก็อาจไม่ได้ผลดีนักหากผู้จดต้องการท่องจำ

[2]

วิธีการจดโน๊ตแบบ Cornell เริ่มจากการแบ่งกระดาษออกเป็น ๓ ส่วน ตามรูปที่ ๑

รูปที่ ๑ แม่แบบ Cornell Note

แต่ละส่วนจะถูกใช้ตามหน้าที่ต่อไปนี้
  • ส่วนที่ ๑ เป็นพื้นที่ที่ใหญ่ที่สุด เรียกว่า Note-taking Area สำหรับจดทุกอย่างเท่าที่จะจดได้ ในช่วงที่นั่งเรียนหรือสัมมนาอยู่
  • ส่วนที่ ๒ เรียกว่า Cue Column สำหรับบันทึกประเด็นสำคัญ เชื่อมโยงจากส่วนที่ ๑ โดยเป็นคำสำคัญ (Keywords) หรือคำถามก็ได้ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ ๒ ประการ หนึ่งคือง่ายสำหรับการทบทวนโดยไม่ต้องอ่านทั้งหมด และสองเพื่อให้เห็นโครงร่างทั้งหมดของบทเรียนหรือการสัมมนา
  • ส่วนที่ ๓ เรียกว่า Summary Area สำหรับในอนาคตที่เกิดนึกถึงคำถามใหม่ๆ หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง หรืออาจจะไปเจอความรู้ใหม่ๆ ก็นำมาเขียนที่นี่ รวมทั้งอาจใช้เป็นพื้นที่ในการสรุปเนื้อหาก็ได้ โดยส่วนนี้จะถูกอนุญาตให้เขียนเมื่อเวลาผ่านไปนานกว่า ๒๔ ชั่วโมง หรือ ๗ วันแล้ว

[3]

ตัวอย่างของการจดโน้ตแสดงได้ตามรูปที่ ๒ และ ๓

รูปที่ ๒ ตัวอย่างการจดโน้ตแบบ Cornell Note-taking (ภาพจาก 1stopbrainshop.com)

หากนึกไม่ออก ลองนึกถึงเวลาที่เราไปดูภาพยนตร์
ส่วนที่ ๑ ก็คือเนื้อหาภาพยนตร์ที่มีรายละเอียดเยอะมากๆ
ส่วนที่ ๒ คือประเด็นสำคัญๆ ซึ่งเวลาที่เราจะเล่าให้คนอื่นฟังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีเรื่องราวเป็นอย่างไร ก็สามารถเล่าได้จากการเรียงลำดับประเด็นสำคัญๆ เหล่านี้
ส่วนที่ ๓ คล้ายๆ กับบทวิจารณ์ภาพยนตร์หรือความคิดเห็นของเราเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ อาจจะเป็นคำถาม ข้อบกพร่อง หรือความรู้สึกก็ได้นั่นเอง

รูปที่ ๓ ตัวอย่างการจดโน้ตแบบ Cornell Note-taking (ภาพจาก p2sts1011.blogspot.com)

ลองคิดดูครับว่าหลายๆ ครั้ง เราอ่านหนังสือเรียน อย่าว่าแต่จบเล่มเลย เอาแค่จบบทเอง เราแทบจะจำอะไรไม่ได้ ไม่กล้าบอกตัวเองด้วยซ้ำว่าอ่านไปแล้วได้อะไร แต่เวลาที่เราอ่านหนังสือการ์ตูนจบเล่ม เราสามารถเล่าได้เป็นฉากๆ ส่วนหนึ่งก็เพราะหนังสือการ์ตูนมันง่ายกว่า แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพราะตอนที่เราอ่านหนังสือเรียน เราลงรายละเอียดมากเกินไป มากเกินกว่าที่เราจะจำมันได้ ขณะที่การอ่านหนังสือการ์ตูนนั้น เราถอยห่างออกมาจากรายละเอียด แล้วทำความเข้าใจโครงร่างของเรื่อง เราจึงรู้เรื่อง
ส่วนที่ ๒ จึงเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดสำหรับการทำความเข้าใจบทเรียนหรือสัมมนาที่เราเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะมันจะทำให้เราเล่าต่อได้ผ่านคำสำคัญที่ได้สรุปเอาไว้ เหมือนๆ การอ่านหนังสือการ์ตูนนั่นเอง

[4]

ต่อไปนี้เพื่อนๆ ก็จะสามารถใช้ทรัพยากรหน้ากระดาษที่มีอยู่อย่างจำกัดให้มีประสิทธิภาพสูงสุดกันได้แล้วนะครับ
อย่างไรก็ตาม [เสด-ถะ-สาด].com ได้ทำลิงค์ให้ดาวน์โหลด template ของ Cornell Note ไปให้เพื่อนๆ ลองนำไปใช้ดูด้านล่างนี้แล้ว เพื่อนๆ ใช้กันแล้วได้ผลเป็นอย่างไรก็มาเขียนเล่าให้ฟังด้วยนะครับ