2/20/2555

ตัวอย่างข้อสอบ O-Net ม.6 18-19 กพ. 55 กวนๆ

ศูนย์ข่าวการศึกษาไทย   นำตัวอย่างข้อสอบ O-Net ของน้องๆ ม.6 เมื่อวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ผ่านมา มานำเสนอ
     
เนื่องจากมีน้องๆ หลายคนงงกับข้อสอบ
     
ผู้อ่าน มติชนออนไลน์ ลองทำข้อสอบ  4 ข้อต่อไปนี้
    
ใครตอบได้ โดยไม่  งง  เป็นไก่ตาแตก
    
แสดงว่า  ไอคิว 180   ครับ





ที่มา  มติชนออนไลน์

การสร้างคุณค่าของตนเอง เพื่อพัฒนาตนเองด้วยการเปลี่ยนแปลง

คุณค่า (Value) ทุกคนมักได้ยินกันจนคุ้นชิน แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจที่จะนำมาสร้างเป็นคุณค่าของตนเองอย่างจริงจังในการพัฒนาตัวเอง เพิ่มคุณค่าในตัวเอง เพื่ออนาคตที่ดีขึ้น
เราสามารถนำคำว่าคุณค่ามาเป็นสัญลักษณ์เป็นโลโก้ประจำตัวเราได้ ด้วยการฝึกฝน 6 ขั้นตอนดังนี้
1. หาจุดเด่นของตัวเอง (เรื่องที่ชอบ เรื่องที่ถนัด เรื่องที่เพื่อนๆยอมรับให้เราทำบ่อยๆ) อาจเขียนให้ได้ประมาณ 5-10 ข้อแล้วค่อยมาตัดออกแล้วเลือกที่เจ๋งที่สุด เป็นเรื่องที่เราเลือกทำแล้วมีความสุขและสนุก ไม่ท้อถอยแม้ยามมีอุปสรรค สำคัญคือเราอยากพัฒนาโดยที่ไม่ต้องมีใครมาสั่ง ด้วยการทำผลงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
 
2. นำเรื่องนี้มาเขียนเป็นเป้าหมาย เช่น ภายใน 6 เดือน จะทำเรื่อง………..ให้มีผลคือ…………….. (เขียนติดไว้จุดที่เห็นง่าย และอ่านทุกวัน ก่อนออกจากบ้าน)
 
3. วางแผนการทำให้บรรลุเป้า เป็นกำหนดการที่ชัดเจน โดยวางเป็นเดือน สัปดาห์ และวัน จาก 6 เดือน โดยระบุแผนงานย่อยให้ชัดเจน เช่นกิจกรรม ขั้นตอน เพื่อให้เป็นแผนที่ที่ชัดเจนที่สุด
 
4. ฝึกฝนทุกวัน ด้วยการกำหนดเป็นกติกาสำหรับตัวเอง สำคัญต้องเขียนให้ชัดเจน แล้วเล่าให้เพื่อนหรือบุคคลที่เราไว้ใจ ที่สามารถเตือนเราได้ เพื่อจะได้ช่วยกระตุ้นให้เรามองเป้าหมาย โดยไม่ลดละเลิก
 
5. คิดบวกเข้าไว้ (หากวันไหนลืมก็ไม่ต้องกังวล นึกได้ก็ทำ ไม่ต้องโทษตัวเอง) เพราะหากท่านรู้สึกผิด อาจเลิกได้ง่ายไป
 
6. กล้าถามบุคคลรอบข้างว่าเราเปลี่ยนไปอย่างไรบ้างไม่ต้องกลัวคำตอบ (หากเราสามารถฝึกฟังได้เราจะได้เลือกฟังแต่ข้อเท็จจริงแยกจินตนาการออกได้แสดงว่าเราใกล้สำเร็จ) แต่ที่สำคัญเราจะได้ข้อมูลในการพัฒนาตัวเองต่อได้อย่างดี
 
เมื่อท่านสามารถฝึกฝนได้ 1 เรื่องแล้ว เชื่อไหมค่ะ ว่าท่านจะมีพลังมหาศาลในการ อยากพัฒนาเรื่องอื่นๆ ขึ้นอีกอย่างไม่ยากอีกต่อไป เพียงแค่เริ่มต้นให้ได้ ไม่ช้า ความสำเร็จในการเห็นคุณค่าของตนเอง จะส่งผลต่อพลังในการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งกับศักยภาพภายในตัวคุณจริงๆ
 
 
คุณค่าเราสามารถสร้างขึ้นได้ด้วยตัวเรา เราฝึกบ่อยๆๆคุณค่าของเราก็ชัดเจนขึ้น สามารถนำคุณค่าที่มีไปใช้ประโยชน์ได้เหมาะสมกับสถานที่ เวลา เหตุการณ์ อย่างเหมาะสม



โดย อาจารย์ สุณิชชา ชอบชัย

ผลงานที่ดีมีประสิทธิภาพ ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่มีคุณภาพ



การเปลี่ยนแปลงเป็นโอกาสให้เราโตขึ้น กลับมาอยู่กับตัวเองด้วยแนวคิดของตัวเองสไตล์ที่ตัวเองมีความสุขกับการเดินทาง 
เดินทางอย่างไรให้มีความสุขกับวิถีความเป็นจริง ด้วย 12 ประเด็นพัฒนาตัวเองด้วยตัวเอง โดยตัวเอง เพื่อตัวเอง กับการโค้ชตัวเอง
1. อ่านหนังสือ แล้วใช้ความคิดกลั่นกรองออกมาเป็นแนวของตัวเอง
2. ความเชื่อมั่นในตนเองควรเป็นของตนเองมากกว่าจำเขามาเชื่อ
3. เขียนเป้าหมายของตัวเอง เป็นตัวหนังสือ ลงกระดาษ ให้ชัดเจนด้วยตัวเอง
4. ทำงานเป็นทีม (รักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อบุคคลรอบข้าง) ของตัวเอง
5. ภูมิใจในความสามารถของตนเอง คิดไว้ว่า “เราทำได้”
6. ควรลงมือทำก่อนตอบว่าฉันทำได้หรือไม่ได้
7. สะสมประสบการณ์ให้มากเพื่อเป็นต้นทุนของการทำงาน
8. ฝึกทำอะไรที่รู้สึกฝืนใจบ้าง เช่น ใช้มือข้างไม่ถนัด, อยู่กับความอึดอัด, ใช้อารมณ์อย่างรู้คุณค่า อยู่กับตัวเองแบบเงียบๆ บ้าง รักตัวเองให้เป็น
9. อย่ารีบช่วยเหลือคนอื่นเร็วไป (ใจเย็นๆ ดูองค์ประกอบก่อนการตัดสินใจช่วย)
10. คำพูดที่ควรฝึกไว้เป็นประจำ คือ “มีอะไรให้ช่วยไหมค่ะ” , “มีอะไรให้ช่วยบอกได้นะค่ะ ”
11. เป้าหมายต้องการสบายวันนี้ต้องลำบากก่อน หรือว่าวันนี้คุณสบายก่อนได้เลยแต่ปลายทางชัดเจนว่าต้องลำบากแน่นอน วางแผนที่ชีวิตตัวเอง
12. คิดบวกเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากในชีวิตเป็นเหมือนเสาเข็มของชีวิตคนเราหากพื้นฐานความคิดดี ทุกสิ่งดีๆ ก็จะดึงดูดเข้าหาตัวเราอย่างแน่นอน

หากคุณไม่อ่านหนังสือ คุณก็จะไม่ทราบเรื่องราวในหนังสือเล่มนั้น
การฝึกฝน เป็นบทเรียนสำคัญ หากคุณไม่ทำ ก็จะไม่เรียนรู้




โดย อาจารย์ สุณิชชา ชอบชัย

ออกแบบ 'เรซูเม่' แผนการรบเพื่อสร้างโอกาสการทำงาน

UploadImage

ในสนามรบ กองทัพจะเข้มแข็งแค่ไหน ก็ยังไม่เพียงพอกับชัยชนะ สิ่งที่สำคัญพอๆ กันก็คือต้องรู้จักวางแผนให้รัดกุมด้วย การสมัครงานก็เช่นเดียวกัน นอกจากจะต้องพัฒนาตัวเองให้มีคุณภาพแล้ว ถึงเวลาการไปสมัครงาน ก็ไม่ต่างจากการออกศึกใหญ่ ที่ต้องแข่งขันกับคนอีกนับแสนชีวิตที่ต้องการทำงาน

อีกไม่กี่เดือน นักศึกษาที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยทั้งหลาย ก็จะต้องออกไปเผชิญหน้ากับโลกของการทำงานจริง ๆ แล้ว ซึ่งแนวทางการสมัครงานเบื้องต้นนั้น สิ่งที่จะเป็นใบเบิกทางนอกจากใบปริญญาตรี และสารพัดผลงานที่เก็บสะสมกันมานานแรม 4 ปีแล้ว (หรืออาจมากกว่าสำหรับบางคณะ) ยังมีสิ่งสำคัญอีกหนึ่งอย่างที่ไม่อาจลืมกันได้คือการเขียนประวัติการทำงานของตัวเอง หรือที่เรียกกันง่าย ๆ ว่า “เรซูเม่” (Resume) นั่นเอง


“เรซูเม่” นั้นมีความสำคัญไม่แพ้กับใบรับรองการศึกษาเลยก็ว่าได้ ในการสมัครงาน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องจัดแฟ้มใส่เอกสารต่าง ๆ เพื่อนำเสนอตัวเราเองนั้น ต่างต้องเอาใบเรซูเม่ขึ้นมาไว้เป็นใบแรกในแฟ้มสะสมผลงานเล่มนั้นแน่นอน เพราะเรซูเม่จะแสดงถึงประวัติการเรียน การทำงาน และประสบการณ์ต่าง ๆ มากมาย โดยย่อ ซึ่งการที่นายจ้างเห็นเรซูเม่แล้วเกิดความสนใจจนต้องเรียกผู้สมัครไปสัมภาษณ์ เท่ากับว่าโอกาสได้งานมีมากถึง 50% แล้ว การเขียนเรซูเม่จึงมีความสำคัญ และต้องใช้ความตั้งใจในการเขียนอย่างมาก

อิทธิพลของสื่อออนไลน์ต่อการสมัครงาน

ปัจจุบันนี้สื่อสังคมออนไลน์ ทำให้การทำเรซูเม่นั้น สามารถสร้างสรรค์ไอเดียต่าง ๆ มีความน่าสนใจมากขึ้น เห็นได้จากการสมัครงานในบริษัทที่ต่างประเทศ ที่นอกจากจะทำเรซูเม่จะดูสวยงาม สะดุดตาแล้ว ก็ยังแสดงความสามารถของผู้สมัคร เช่น การอัดวิดีโอไว้ และอัพโหลดขึ้นในเว็บไซต์ Youtube แต่จะออกมาดีหรือไม่ดี ก็อยู่ที่ไอเดียของผู้สร้างสรรค์ แต่ทั้งนี้การนำเสนอเรซูเม่แบบวิดีโอ จะใช้ได้ผลกับบริษัทในประเทศไทยได้ผลหรือไม่ ก็คงต้องขึ้นอยู่กับทางบริษัทนั้นๆ
 UploadImage

ผู้สมัครงานกับแนวทางการเขียนเรซูเม่

การเขียนเรซูเม่ของนักศึกษาจบใหม่ ๆ นั้น นายกุลทรัพย์ วัฒนผล หรือพี่อัพ นักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งปัจจุบันนี้กำลังหางานอยู่ กล่าวถึงการเลือกเรซูเม่ที่วางแผนทำไว้สำหรับการสมัครงานว่า จะต้องดูว่าขึ้นอยู่กับสายงานที่จะไปสมัครงานว่าเป็นแบบไหน เช่น เรียนจบนิเทศศาสตร์ ก็จะใช้ความคิดสร้างสรรค์และผลงานเยอะหน่อย มีรูปแบบการเขียน และลูกเล่นต่าง ๆ ที่หลากหลาย และแสดงถึงตัวตนออกมา

คนที่จบบริหารธุรกิจ หรือบัญชี ก็จะเน้นเรื่องการใส่ข้อมูล และผลงานเก่าต่าง ๆ เช่น ใบประสบการณ์การทำงาน คะแนนเสริมภาษาอังกฤษ ซึ่งจะเป็นองค์ประกอบทั่วไปมากกว่า”

ส่วนเรซูเม่ที่มีสีสัน มีการใช้เฉดสี ใช้กราฟฟิกหรือใช้สื่อออนไลน์ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจของเรซูเม่นั้น คุณกุลทรัพย์กล่าวว่า ถ้ามีโอกาสก็อยากจะลองทำดู แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะนำไปใช้ที่ไหน หรือใช้อย่างไร เพราะบางบริษัทนั้นถ้าไม่ได้ต้องการแบบที่ตายตัว ก็สามารถทำได้ แต่ยังมีหลายบริษัทส่วนใหญ่ ที่ยังกำหนดรูปแบบปกติ ก็ยังไม่กล้าที่จะทำเรซูเม่ในลักษณะนี้

ด้านนางสาวนิษนิภา นีละพันธ์ หรือน้องแพร นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าวถึงการคัดเลือกผลงานเพื่อบรรจุใส่ในเรซูเม่ว่า ก็มีการดึงผลงานเด่นจากการฝึกงาน ที่ได้รับการตีพิมพ์ มีโครงเรื่องเพื่อแสดงเป็นหลักฐานไว้ด้วย จึงทำให้มั่นใจว่ามีผลงานที่เผยแพร่ออกไปแล้ว

ทั้งนี้นางสาวนิษนิภา กล่าวถึงการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการทำเรซูเม่เพื่อแนะนำตัวเองในการสมัครงานว่า มีความยุ่งยาก เพราะกลัวว่าฝ่ายบุคคลไม่สะดวกที่จะเปิดดูเรซูเม่ในลักษณะนี้ แต่ถือว่าสะดวกสำหรับผู้สมัครที่สามารถฝากลิงก์เว็บไซต์เหล่านี้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าฝ่ายบุคคลจะเปิดดูประวัติของเราหรือเปล่าซึ่งเจ้าตัวก็คาดหวังว่าจะถูกเรียกสัมภาษณ์งาน และมีโอกาสได้เข้าไปร่วมงานกับบริษัทที่ตั้งใจไว้

“สำหรับบริษัทที่คาดหวังว่าจะได้ร่วมงาน ก็ขอให้ได้เป็นที่ที่เคยฝึกงาน ที่ทำงานที่คุ้นเคย และที่ที่เป็นบริษัทใหญ่ ๆ ซึ่งจะได้หรือไม่ ก็อยู่ที่การพิจารณาของบริษัทเหล่านั้น”

เทคนิคการทำเรซูเม่เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้งาน

น้องๆ หลายคนที่กำลังกังวลใจ หรือไม่มั่นใจว่าเรซูเม่ที่เขียน จะสร้างโอกาสให้ได้งานมากน้อยแค่ไหน คุณอารีย์ เพ็ชรรัตน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท อารี แอน แอสโซซีเอทส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการจัดการทรัพยากรบุคคล ได้กล่าวถึงแนวทางการทำเรซูเม่สมัครงานในประเทศไทยว่า ยังเน้นการสมัครงานผ่านระบบอินเทอร์เน็ตตามเว็บไซต์สมัครงานต่าง ๆ ซึ่งเมื่อผู้สมัครงานเข้าสู่ระบบการสมัครงานผ่านเว็บไซต์ เรซูเม่เหล่านี้ก็จะถูกจำกัดด้วยรูปแบบการจัดหน้าตามเว็บไซต์สมัครงานเหล่านี้

“อย่างเว็บไซต์สมัครงาน JOBDB ก็จะให้เขียนตามรูปแบบของข้อมูลของเว็บไซต์นี้ ซึ่งผู้สมัครงานบางคนก็สามารถที่จะนำเรซูเม่ที่เขียนไว้ มาใส่เป็นข้อมูลเพิ่มเติมในเว็บไซต์ได้ แต่ในเบื้องต้นของการกรอกข้อมูลสมัครงาน ก็จะกรอกข้อมูลตามรูปแบบของเว็บไซต์สมัครงานไปก่อน และเมื่อเข้าสู่กระบวนการสัมภาษณ์งาน ก็จะมีการขอเรซูเม่ที่ผู้สมัครเขียนไว้เอง ซึ่งรูปแบบของเรซูเม่เหล่านี้ก็ยังคล้ายกับเรซูเม่รูปแบบเดิม

กลับสู่จุดเริ่มต้นอย่างมีชั้นเชิง

รูปแบบเรซูเม่ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยนี้ คุณอารีย์กล่าวว่าเป็นเรซูเม่รูปแบบ Chronicle (โครนิคอล) ซึ่งเป็นรูปแบบตามเวลาล่าสุด และไล่เวลาลงไป เช่น การนำเสนอประวัติการศึกษาตัวเอง ให้นำเสนอตั้งแต่การศึกษาล่าสุดของเรา จนถึงการศึกษาในอดีต

“ในลักษณะของการรับรู้ของผู้อ่าน จะนึกถึงภาพปัจจุบันก่อน และถอยหลังลงมาจนถึงอดีต ฉะนั้นนักศึกษาจึงต้องนำเสนอว่าจบปริญญาตรีเมื่อไหร่ และไล่เรียงประวัติการศึกษาลงมา ไม่ต้องถึงประถมศึกษาก็ได้ แค่มัธยมศึกษาก็น่าจะเพียงพอแล้ว”

สีสัน ลูกเล่น ใช้ถูกที่ ถูกเวลา ถูกตำแหน่งงาน

เรซูเม่ที่ได้รับเมื่อถึงขั้นตอนการสัมภาษณ์งาน คุณอารีย์ กล่าวว่า บางครั้งก็จะเห็นเรซูเม่ที่มีการปรับรูปแบบให้ดูดีขึ้น เช่นการใส่ภาพกราฟฟิก ใส่สีสัน แต่ประเด็นของผู้สรรหา จะไม่ได้มองแค่รูปแบบเหล่านี้อย่างเดียว แต่จะมองการนำเสนอเนื้อหาในเรซูเม่มากกว่า ดังนั้นเรซูเม่ที่มีการใช้สีสัน ใช้ภาพกราฟฟิกประกอบ คุณอารีย์บอกว่าในเมืองไทย ยังไม่ค่อยได้รับความนิยมมาก เพราะเมืองไทยยังใช้รูปแบบการสัมภาษณ์แบบเดิมอยู่ แต่มีบางตำแหน่งงาน ที่ผู้สรรหาอาจสนใจเรซูเม่รูปแบบนี้ได้

“บางตำแหน่ง เช่นตำแหน่งงานด้านกราฟฟิกดีไซน์ หรือด้านการนำเสนอตัวเอง ที่นายจ้างอาจสนใจเรซูเม่รูปแบบนี้ได้ แต่ถ้าเป็นตำแหน่งทั่วไป การนำเสนอแบบนี้ยังไม่ถือว่าเป็นจุดขายที่โดดเด่นมากนัก”

ทำด้วยความตั้งใจจริง สั้น กระชับ อ่านง่าย

การจัดเรซูเม่สำหรับน้อง ๆ นักศึกษาที่เพิ่งจบการศึกษา ส่วนใหญ่จะมองตัวเองว่าไม่มีประสบการณ์ การนำเสนอเรซูเม่จึงรู้สึกว่ามีปมด้อย และการเขียนเรซูเม่มาแบบเดียวแล้วส่งไปทั่ว เป็นสิ่งที่นายจ้างมองว่า เราไม่ได้แสดงความตั้งใจที่เข้าทำงานกับบริษัทนั้นจริง ๆ จึงแนะนำว่า ต้องเขียนเรซูเม่ด้วยความตั้งใจ ต้องรู้ว่าเขียนให้ใคร เขียนให้บริษัทแบบไหน เขียนให้ผู้อ่านรู้สึกแบบเดียวกับผู้เขียน ซึ่งเรื่องนี้คุณอารีย์ได้อธิบายให้ฟังว่า

“แนะนำว่าให้เขียนเรซูเม่ให้สั้น กระชับ ใช้กระดาษ A4 ไม่เกินสองหน้า มีรูปแบบพื้นที่กว้าง อ่านสบายตา เนื้อหาสำคัญต้องอยู่หน้าแรก และฝั่งของนายจ้างจะดูเรซูเม่ที่น่าสนใจ ความละเอียดในการเขียน ไม่มีการพิมพ์ตก เพราะนายจ้างจะเห็นแต่กระดาษ ยังไม่ได้เห็นหน้าตาของผู้สมัคร กรณีนักศึกษาจบใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ เป็นสิ่งที่นายจ้างยอมรับได้ แต่ความเป็นตัวของเราเป็นสิ่งที่ต้องนำเสนอออกมาใน 2-3 บรรทัดแรกของ Resume”

อัพเดตก่อน ย่อมได้เปรียบ

การคัดเลือกผลงานจากการทำงาน เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง และต้องคัดเลือกผลงานใหม่ที่สุดใส่ลงไปก่อน ต่อด้วยผลงานเด่นๆ ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตการทำงาน

“งานที่ไม่โดดเด่น งานที่เป็นงานชิ้นเล็กชิ้นน้อย ให้ใส่ไว้ท้าย ๆ ส่วนงานล่าสุด และสำคัญที่สุด ให้ใส่มาในลำดับตั้น ๆ ก่อนเลย”

ชีวิตการทำงานกับชีวิตการเรียน ต่างกันอย่างสิ้นเชิง

นักศึกษารุ่นใหม่ที่กำลังจะจบการศึกษา และจะเข้ามาทำงานจะต้องเจอกับคนที่มีอายุงานมากกว่า ประสบการณ์มากกว่า ซึ่งจะเป็นคนหลากหลายกลุ่ม ชีวิตการทำงานกับการเรียนย่อมไม่เหมือนกัน ดังนั้นควรเตรียมความพร้อมก่อน เพราะสิ่งที่ต้องเจอกับการทำงาน จะไม่เหมือนกับสิ่งที่เจอในมหาวิทยาลัย

“บางคนคิดว่าจะมาลองงาน 2-3 เดือน และเมื่อเบื่อ ก็เปลี่ยนงานใหม่ที่เราใช่ ซึ่งไม่ควรคิดแบบนั้น จึงอยากให้เลือกงานในลักษณะระยะยาว งานนี้ใช่กับตัวเราหรือไม่ หลายคนอาจคิดว่าทำไปก่อนดีกว่าตกงาน แต่ในทัศนคติของนายจ้าง จะมองว่ามาแล้วทำงานแค่ 2-3 เดือนแล้วก็ออก ซึ่งนายจ้างจะมองว่าเป็นเด็กไม่อดทน และจะทำให้ประวัติการทำงานเสีย ฉะนั้นเวลาเลือกงานให้ค้นหาตัวเองก่อนจะเลือกงานว่า ถนัดอะไร ชอบงานแบบไหน เราเป็นคนแบบไหน”

จบที่ไหนก็ทำงานได้

อีก 1 คำแนะนำสำหรับน้อง ๆ ที่ต้องการ “ตั๋ว” เดินทางไปสู่เส้นทางการทำงานที่ใฝ่ฝัน แต่สิ่งที่น่าคิดในสังคมคือต้องยอมรับความจริงว่าการรับคนเข้าทำงานโดยดูจากสถาบันการศึกษา สำหรับนักศึกษาที่เพิ่งจบการศึกษาใหม่นั้น ยังมีอยู่จริงในสังคมอย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะสังคมเองคิดว่าคนที่จบการศึกษาจากสถาบันของรัฐบาลนั้น มีศักยภาพมากกว่า ซึ่งเป็นทัศนคติของผู้สรรหาอยู่บ้าง แต่ความจริงแล้วในการทำงานจริง สถาบันการศึกษาไม่ได้เป็นตัวกำหนดคุณภาพของคนทำงาน เพราะอย่างน้อย เมื่อส่งผู้สมัครเข้าสู่การงานไปได้ในระยะหนึ่ง ก็จะลืมแล้วว่าเขาจบอะไรมา แต่จะเห็นว่าเขาเป็นใคร ทำอะไรได้บ้าง ซึ่งแท้จริงแล้ว การทำงานนั้นอาจเป็นสิ่งสำคัญว่าสถาบันก็ได้

ขอบคุณข้อมูล การเขียนเรซูเม่ วิธีทำเรซูเม่ จาก ไทยรัฐออนไลน์