2/19/2555

ชำแหละสารพัด "ทฤษฎี" โลกแตกแน่ๆ








ชำแหละสารพัด "ทฤษฎี"
โลกแตกแน่ๆ - 21 ธ.ค.2012




คําทำนายโลกแตกที่ลือหนัก ทั้งในโลกจริงๆ และโลกไซเบอร์ถึงคำทำนายวันโลกาวินาศ วันสิ้นโลก หรือ วันโลกแตก ก็ยังคงไม่ผ่อนคลายหายไปง่ายๆ

โดยเฉพาะคำทำนายสารพัดทฤษฎีสมคบคิด ที่ฟันธงว่า 21 ธันวาคม ค.ศ.2012 (พ.ศ.2555) นี้มีแนวโน้มสูงมากที่โลกมนุษย์จะถึงกาลอวสานอย่าง แน่นอน!?

เพื่อไขข้อข้องใจในหมู่ประชาชนคนไทยให้กระจ่างอีกครั้ง เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทาง องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ หรือ อพวช. จึงได้ร่วมมือกับ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ หรือ สดร. 

จัดงานเสวนาโลกาวินาศ วิทยาศาสตร์วิพากษ์ และพยากรณ์ ในหัวข้อเรื่อง "2012 ฤาโลกจะสูญสิ้น" ที่จัตุรัสวิทยาศาสตร์ อพวช. อาคารจามจุรีสแควร์

จุดประสงค์ก็เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับเหตุการณ์และปรากฏการณ์ต่างๆ โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนา ได้แก่ ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการ สดร., ดร.บัญชา ธนสมบัติ นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ จากสถาบันพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. และ ดร.พิชัย สนแจ้ง ผู้อำนวยการ อพวช.


ดร.บัญชา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์จาก สวทช. เริ่มต้นการเสวนาด้วยการระบุถึงที่มาของข่าวลือดังกล่าวว่า 

น่าจะเริ่มมาจากหนังสือที่เขียนขึ้นโดย นายไมเคิล ดี. โค นักโบราณคดีชาวสหรัฐ

กล่าวถึงมหาหายนะของโลกที่อาจเกิดขึ้นในปี 2012 โดยเชื่อมโยงเข้ากับวันสิ้นสุดปฏิทินในปฏิทินประเภท "ลองเคาต์" ของชาวมายา ในอารยธรรมโบราณ ที่มีถิ่นฐานตั้งอยู่บริเวณทวีปอเมริกากลาง ช่วง 2,000 ปีก่อนคริสตกาล จนถึง ค.ศ.900 

ชาวมายาใช้ปฏิทินประเภทดังกล่าวเพื่ออ้างอิง บันทึกประวัติศาสตร์และทำนายอนาคต แบ่งเป็นสองชนิด ได้แก่ แบบยาว มีระยะเวลา 1 รอบปฏิทิน เท่ากับ 63 ล้านปี หรือ 23,040,000,000 วัน

และแบบสั้น มีระยะเวลา 1 รอบปฏิทิน เท่ากับ 5,125 ปี หรือ 1,872,000 วัน ซึ่งจะครบ 1 รอบพอดีในวันที่ 21 ธ.ค.ปีนี้

"ชาวมายามีความเชื่อในเรื่องตำนานการสร้างสรรพสิ่ง ของเทพแห่งท้องฟ้าและมหาสมุทรว่า ในยุคแรกได้สร้างสัตว์ขึ้นมา แต่สัตว์พูดและบูชาเทพเจ้าไม่ได้ จึงถูกทำลายทิ้ง 

ต่อมาในยุคที่ 2 สร้างมนุษย์ขึ้นจากโคลน แต่มีข้อเสียคือปวกเปียกและไม่มั่นคงจึงถูกทำลายทิ้งอีก 

ต่อมาในยุคที่ 3 สร้างมนุษย์ขึ้นจากไม้ แต่กลับทำลายธรรมชาติ และไม่เคยสรรเสริญพระองค์ จึงถูกกวาดล้างครั้งใหญ่ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของยุคปัจจุบัน เป็นยุคที่ 4 

โดยมนุษย์ถูกสร้างขึ้นจากแป้งข้าวโพด และมีความเจริญรุ่งเรือง โดยวันสิ้นสุดของยุคที่ 4 จะตรงกับวันที่ 21 ธ.ค.ปีนี้ตามปฏิทินดังกล่าวของชาวมายา 

ซึ่งมีการทำนายไว้ว่า จะบังเกิดทั้งสิ่งประเสริฐและสิ่งเลวร้าย ทั้งยังเป็นวันเหมายัน คือ กลางวันสั้นที่สุด และกลางคืนยาวที่สุดในรอบปีของปฏิทินสุริยคติ หรือปฏิทินสากลที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน"

ดร.บัญชายังกล่าวถึงอีกแนวคิดที่ระบุถึงทฤษฎีอวสานโลก ว่า มาจากหนังสือ "เดอะ เทวลฟ์ แพลเน็ต" เขียนโดย นายเซชาเรีย ซิตชิน นักเขียนชาวสหรัฐ ผู้นำเสนอทฤษฎีจุดกำเนิดของมนุษยชาติ โดยอ้างอิงจากการตีความหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ค้นพบจาก "ชาวสุเมเรียน" 

โดยนายซิตชินอ้างถึงภาพพิมพ์โบราณของตราประทับ เรียกว่า "ไซลินเดอร์ ซีล วีเอ 243" ซึ่งตรงมุมซ้ายบนปรากฏภาพคล้ายดวงอาทิตย์ถูกห้อมล้อมด้วยจุด 11 จุด รวมเป็น 12 จุด แทนดาวทั้ง 12 ดวงในระบบสุริยะ 

จึงตีความว่า ยังมีดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ที่มนุษย์ปัจจุบันยังไม่ค้นพบชื่อว่า "นิบิรู" อ้างว่ามีลักษณะวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ ที่เป็นวงรีมากทำให้นักดาราศาสตร์ปัจจุบันยังไม่ค้นพบ และมีรอบโคจร 3,600 ปี ซึ่งอาจจะเข้ามาใกล้หรือชนโลก ในเวลา 11.11 น. ตามเวลามาตรฐานกรีนนิช หรือตรงกับเวลา 18.11 น. ตามเวลาไทย


ดร.ศรัณย์ รองผู้อำนวยการ สดร. กล่าวแย้งทฤษฎีโลกาวินาศของนายซิตชิน ว่า เป็นไปไม่ได้

เนื่องจากหากเป็นไปตามวงโคจรที่นายซิตชินกล่าวอ้างไว้ ขณะนี้ดาวนิบิรูจะต้องอยู่ห่างจากโลกประมาณ 4 หน่วยดาราศาสตร์ (เอยู) หรือราว 600,000,000 กิโลเมตร ใกล้เคียงกับวงโคจรของดาวพฤหัสบดี 

ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีใครพบเห็นดาวเคราะห์ดวงนี้ รวมทั้งไม่ใช่ดาวฤกษ์หรือดาวแคระน้ำตาล เพราะด้วยค่าความสว่างระดับดังกล่าวมนุษย์จะสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าแม้ในเวลากลางวัน และจะสว่างยิ่งกว่าดวงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ

จึงเห็นว่าดาวนิบิรูไม่น่าจะมีอยู่จริง 

ส่วนเรื่องของทฤษฎีการพุ่งชนของเทหวัตถุนอกโลกนั้น ดร.ศรัณย์กล่าวว่า ประเด็นนี้มีความเป็นไปได้

เพราะในอดีตเคยเกิดขึ้นมาแล้ว และอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้สิ่งมีชีวิตกว่า 3 ใน 4 ของโลกต้องล้มตายไปในยุคไดโนเสาร์ 

การชนของอุกกาบาตในครั้งนั้นทิ้งร่องรอยเป็นหลุมที่มีความ กว้างไว้หลายร้อยกิโลเมตร 

อย่างไรก็ตาม การชนในระดับนี้จะเกิดขึ้นเฉลี่ยราว 100 ล้านปี และหลายประเทศมีโครงการหลายโครงการ ที่ค้นหาและติดตามวัตถุที่มีขนาดใหญ่กว่า 200 เมตร ที่มีวงโคจรเข้าใกล้โลกไม่เกิน 7.2 ล้านกิโลเมตร 

ล่าสุด มีการค้นพบเทหวัตถุที่มีความเสี่ยงชนโลกแล้ว 1 ดวง ชื่อรหัสว่า "1950 ดีเอ" มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.1 กิโลเมตร และอาจพุ่งเข้าชนโลกในวันที่ 16 มี.ค. ปี ค.ศ.2880 ซึ่งมีอัตราความเสี่ยงการชนอยู่ที่ร้อยละ 0.33


อีกหนึ่งทฤษฎีโลกาวินาศที่ได้รับการกล่าวถึง คือ การเรียงตัวของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะในวันที่ 21 ธ.ค.55 นี้ 

โดยเชื่อว่าจะสร้างผลกระทบที่เลวร้ายบนโลก 

ดร.ศรัณย์ระบุว่า สำหรับเรื่องนี้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ในปัจจุบันเพียงพอ ที่จะคำนวณและพยากรณ์เรื่องนี้ได้อย่างแม่นยำ และไม่พบว่าจะมีการเรียงตัวดังกล่าวเกิดขึ้นในปีนี้ 

ที่ผ่านมาในอดีตการเรียงตัวเกิดขึ้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ครั้งล่าสุดคือเดือน พ.ค. ปี ค.ศ.2000 และจะไม่สร้างผลกระทบที่เลวร้ายต่อโลก เนื่องจากอิทธิพลที่จะมีผลต่อโลกมีเพียงแรงโน้มถ่วง ของดาวเคราะห์ แต่ดาวเคราะห์ต่างๆ อยู่ห่างไกลออกไปมาก 

จากการคำนวณพบว่าแรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์ทุกดวง รวมกันจะเท่ากับ 1 ใน 200 ส่วนของแรงโน้มถ่วงสูงสุดของดวงจันทร์ 

ขณะที่ผลของแรงน้ำขึ้นน้ำลงที่มีต่อโลกนั้นคำนวณแล้วพบว่า ดาวเคราะห์ทุกดวงรวมกันจะมีผลเท่ากับ 64 ในล้านส่วนของดวงจันทร์ ซึ่งการเรียงตัวครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในวันที่ 8 ก.ย. ปีค.ศ.2080

ดร.ศรัณย์ยังกล่าวถึงทฤษฎีสิ้นโลกที่ว่า "หลุมดำ" ใจกลางกาแล็กซีทางช้างเผือก อาจกลืนโลกเข้าไปทั้งใบในวันที่ 21 ธ.ค.นี้ ด้วยว่า 

หลุมดำดังกล่าวชื่อว่า "ซาจิตทาเรียส เอ" อยู่ห่างจากระบบสุริยะไปราว 26,000 ปีแสง และดวงอาทิตย์นั้นโคจรรอบกาแล็กซีอยู่แล้วทุกปีตามสุริยวิถี 1 รอบ ใช้เวลา 100 ล้านปี 

โดยการระบุว่าระบบสุริยะจะโคจรเข้าไปใกล้หลุมดำ และอาจถูกดูดเข้าไปเป็นเพียงคำกล่าวอ้างที่ไม่เป็นจริง เพาะแม้หลุมดำจะมีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ 4.1 ล้านเท่า แต่ดวงอาทิตย์มีอิทธิพลของแรงโน้มถ่วง กระทำต่อโลกมากกว่าหลุมดำถึง 1 แสนล้านเท่า 

ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ หรือต่อให้ถูกดูดเข้าไปด้วยความเร็วเท่าแสง ยังต้องใช้เวลาอีกถึง 26,000 ปี กว่าจะถึงหลุมดำ!?

ขณะที่ ดร.บัญชาไขความกระจ่าง ถึงทฤษฎีการเปลี่ยนขั้วของสนามแม่เหล็กโลกเพิ่มเติมว่า 

ที่ผ่านมาในอดีตโลกมีการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยมีการพบหลักฐาน การที่สิ่งมีชีวิตลดจำนวนลงอย่างมีนัยสำคัญ ระหว่างและหลังการเปลี่ยนขั้วแม้แต่ครั้งเดียว 

รวมทั้งระยะเวลาที่เปลี่ยนนั้นยาวนานเป็นพันปี ตลอดจนจะไม่ส่งผลต่อการกลับทิศของขั้วโลกและโลกจะไม่หมุนกลับด้าน

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าสนามแม่เหล็กโลก ที่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันรังสีและอนุภาคต่างๆ อาจอ่อนตัวลงบ้างแต่ไม่ถึงระดับอันตราย


สําหรับทฤษฎีโลกาวินาศแนวทางสุดท้าย ที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง คือ ภัยคุกคามจากดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะ หลังการลุกจ้าของดวงอาทิตย์ หรือ โซลาร์แฟล ครั้งรุนแรง พุ่งเข้าปะทะสนามแม่เหล็กโลก เมื่อ 24 ม.ค.ที่ผ่านมา ทำให้เกิดแสงเหนือ (ออโรร่า) ในขั้วโลกเหนือ 

ดร.บัญชาระบุว่า กิจกรรมของดวงอาทิตย์แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ ลมสุริยะ (High Speed Solar Wind) ซึ่งถูกพัดออกมาอยู่ตลอดเวลา และอาจจะมีกระเพื่อมบ้าง แต่ไม่อันตรายเท่ากับการลุกจ้า หรือ โซลาร์แฟล ที่คล้ายการระเบิดของรังสีเอกซเรย์ 

แต่ที่อันตรายจริงๆ คงจะเป็นการ "พ่นมวลโคโรนา" หรือ ซีเอ็มอี และการ "พ่นอนุภาคพลังงาน" หรือเอสอีพี ซึ่งหากมนุษย์ถูกระดมยิงด้วยอนุภาคดังกล่าวอาจถึงแก่ชีวิตได้ โดยซีเอ็มอีเกิดขึ้นเฉลี่ยทุกๆ 11 ปี 

ครั้งล่าสุดเมื่อปี 2543 และจากเกิดขึ้นครั้งต่อไปประมาณเดือน ก.พ.ปีหน้า

"ปัญหาความวิตกกังวลที่กำลังแผ่ขยายไปในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเกิดจากความไม่รู้ หรือคิดว่ารู้ นับตั้งแต่มีโลกอินเตอร์เน็ตทำให้ข่าวลือแพร่ไปได้รวดเร็วมาก..

"แต่สังคมโลกใช้ฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์น้อยเกินไป ทำให้เตลิดเปิดเปิง แต่ไปใช้ความเชื่อทางอื่นแทน ทำให้บ่อยครั้งซ้ำเติมให้เรื่องราวนั้นเลวร้ายลงไปอีก.. 

"การแก้ปัญหาจึงควรเป็นการให้ข้อมูลและปูฐานความรู้ที่ถูกต้อง" ดร.บัญชากล่าว

บ่อยครั้งที่วิทยาศาสตร์มักสวนทางกับความเชื่อ 
วันสิ้นโลกอาจไม่มีใครตอบได้แน่นอน 
แต่สำคัญที่สุด คือ การดำรงตนอยู่บนความไม่ประมาท 

และต้องระวังไม่ให้ตัวเอง "เสียสติ" จากการรับข้อมูลทะลักล้นจนเกินไปเสียก่อน!

หน้า 21


ขอบคุณ ข่าวสดออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น