2/19/2555

จีนเร่งพัฒนา ‘ก๊าซธรรมชาติ’ จาก ‘หินน้ำมัน’


โดย โรเบิร์ต เอ็ม คัตเลอร์ 18 กุมภาพันธ์ 2555 

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ http://www.atimes.com)

China shale-gas drive appears over-ambitious 
By Robert M Cutler 
17/02/2012

ประเทศจีน ซึ่งกลายเป็นผู้นำเข้าก๊าซธรรมชาติสุทธิไปแล้วตลอดช่วงระยะ 4 ปีที่ผ่านมา กำลังลงทุนหนักมากเพื่อให้ได้เทคโนโลยีที่จะนำมาใช้พัฒนาแหล่งสำรองก๊าซธรรมชาติจากน้ำมัน (shale gas) ที่มีอยู่อย่างมากมายของแดนมังกร 

อย่างไรก็ดี ปัญหาทางด้านธรณีวิทยาและความท้าทายทางเทคนิคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง บ่งชี้ให้เห็นว่าเป้าหมายปริมาณการขุดเจาะที่จีนกำหนดเอาไว้ น่าจะสูงเกินความเป็นจริงไปมาก 

มอนทรีล, แคนาดา – ประเทศจีนกำลังเสาะแสวงหาทางผลิตก๊าซธรรมชาติจากหินน้ำมัน (shale rock) ให้ได้ปริมาณสูงถึง 80,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ภายในปี 2020 ทั้งนี้ตามรายงานข่าวเกี่ยวกับร่างแผนการระดับชาติฉบับหนึ่ง ที่ได้ทราบมาจากผู้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบ 

แต่จากผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่กระทำโดยสำนักข่าว บลูมเบิร์ก นิวส์ (Bloomberg News) พวกเขาระบุว่าถ้าหากได้สัก 1 ใน 3 ของปริมาณดังกล่าวก็จะต้องถือว่าโชคดีแล้ว

องค์การสารสนเทศพลังงาน (Energy Information Administration หรือ EIA) แห่งกระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ (US Department of Energy) ให้ตัวเลขประมาณการไว้ว่า 

จีนมีก๊าซธรรมชาติจากหินน้ำมันที่ในทางเทคนิคสามารถขุดเจาะนำขึ้นมาใช้ได้ 36 ล้านล้านลูกบาศก์เมตร ขณะที่กระทรวงที่ดินและทรัพยากร (Ministry of Land and Resources) ของรัฐบาลจีนเอง ให้ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการไว้ที่ 31 ล้านล้านลูกบาศก์เมตร 

โดยในจำนวนนี้มีเพียง 25 ล้านล้านลูกบาศก์เมตรเท่านั้นที่เหมาะสมแก่การขุดค้นขึ้นมาจริงๆ

ทางกระทรวงเพิ่งประกาศในสัปดาห์นี้ว่า ในปีนี้จะให้น้ำหนักกับเรื่องการสำรวจและการประเมินคุณภาพของก๊าซธรรมชาติจากหินน้ำมัน ความเคลื่อนไหวเช่นนี้มีขึ้นภายหลังจากคณะรัฐมนตรีของจีน

ได้ประกาศเมื่อเดือนที่แล้ว ให้ก๊าซธรรมชาติจากหินน้ำมันเป็นทรัพยากรเหมืองแร่ “อิสระ” ซึ่งก็คือการเปิดโอกาสให้พวกบริษัทเอกชนของจีนเข้าไปดำเนินกิจการในภาคส่วนนี้ได้

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าตัวเลขของสหรัฐฯหรือของจีน ต่างยังไม่ได้พิจารณาอย่างจริงจังในเรื่องเกี่ยวกับสภาพทางธรณีวิทยาที่เป็นจริงของทรัพยากรนี้ที่อยู่ตามพื้นที่ส่วนต่างๆ ของแดนมังกร ตลอดจนระดับของความลำบากยุ่งยากที่จะต้องเกิดขึ้น เมื่อเข้าไปทำการพัฒนาขุดค้น 

ในทางเป็นจริงแล้ว สภาพทางธรณีวิทยาในจีนนั้นแตกต่างไปจากในสหรัฐฯ ทำให้ประเด็นปัญหาทางเทคนิคมีความลำบากยุ่งยากมากกว่า

ตลอดช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมา พวกบริษัทพลังงานของจีนออกตระเวนไปทั่วโลก (หรืออย่างน้อยที่สุดก็ออกตระเวนไปในอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นอาณาบริเวณที่การพัฒนาหลักวิชาทางด้านนี้ก้าวไปไกลที่สุด) เพื่อค้นหาเทคโนโลยีเรื่องก๊าซธรรมชาติจากหินน้ำมัน 

รวมทั้งเทคโนโลยีการขุดเจาะที่เรียกว่า hydraulic fracturing หรือ "fracking" ซึ่งพวกเขาจะสามารถนำไปใช้เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ภายในแดนมังกรเอง ในปี 2011 รัฐวิสาหกิจของจีนหลายๆ แห่งได้ไปลงทุนในแคนาดากันยกใหญ่ 

โดยในจำนวนการลงทุนร่วม ๆ 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯที่พวกเขาใช้จ่ายไปเพื่อซื้อบริษัทพลังงานต่างๆ ในระยะเวลาดังกล่าวนั้น เกือบๆ 1 ใน 3 ทีเดียวเป็นการลงทุนในแคนาดา

เป็นต้นว่า ซิโนเปก (Sinopec) เข้าซื้อบริษัทเดย์ไลต์ เอเนอจี (Daylight Energy Ltd) ด้วยราคาประมาณ 2,200 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการเข้าซื้อกิจการต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดของรัฐวิสาหกิจแห่งนี้ในปี 2011 ทั้งนี้ด้วยความประสงค์ที่จะเข้าถึงแหล่งสำรองก๊าซธรรมชาติจากหินน้ำมันในแคนาดา 

ทางด้าน เปโตรไชน่า (PetroChina) ได้มีการพูดจากับ เอนคานา คอร์ป (Encana Corp) เพื่อขอซื้อทรัพย์สินใน คัตแบงก์ ริดจ์ (Cutbank Ridge) ของฝ่ายหลัง จวบจนกระทั่งมองเห็นกันว่าความแตกต่างทางด้านราคาที่พึงประสงค์ของแต่ละฝ่ายนั้นไม่สามารถประนีประนอมให้ลงรอยกันได้แล้ว 

ทำให้ฝ่ายจีนถอนข้อเสนอซื้อที่ให้ตัวเลขไว้ที่ 5,400 ล้านดอลลาร์กลับคืนไปจากโต๊ะเจรจา ก่อนหน้านั้นในปีเดียวกัน เปโตรไชน่า ก็ได้จ่ายเงินกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อหุ้นประมาณ 1 ใน 5 ในโครงการก๊าซธรรมชาติจากหินน้ำมันโครงการหนึ่งของบริษัทโรยัล ดัตช์ เชลล์ (Royal Dutch Shell Plc) ในบริเวณภาคตะวันตกของแคนาดา

เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่ฝ่ายจีนต้องบุกเข้าไปในสหรัฐฯด้วย โดยที่ เปโตรไชน่าประกาศเข้าลงทุนเป็นมูลค่า 2,500 ล้านดอลลาร์ในแหล่งใหม่ๆ ที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาโดยบริษัทเดวอน เอเนอจี (Devon Energy) ของสหรัฐฯ ตามรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ (Financial Times) 

ตัวเลขกลมๆ นี้แบ่งเป็นเงินสดจำนวน 900 ล้านดอลลาร์ และที่เหลือเป็นการเข้าแบกรับ 80% ของค่าใช้จ่ายด้านการพัฒนาของเดวอน ถึงแม้สิ่งที่ฝ่ายรัฐวิสาหกิจจีนจะได้รับ คือหุ้นแค่ 1 ใน 3 เท่านั้น 

เห็นกันว่าการลงทุนทั้งหมดเหล่านี้ คือความมุ่งมั่นต้องการเข้าถึงเทคโนโลยีก๊าซธรรมชาติจากหินน้ำมัน โดยเฉพาะเทคโนโลยี hydraulic fracturing นั่นเอง

อย่างไรก็ดี เนื่องจากสภาพทางธรณีวิทยาของหินน้ำมันในอเมริกากับในจีนมีความแตกต่างกัน ทำให้ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าการถ่ายทอดเทคโนโลยีจะกระทำกันในลักษณะไหน สินแร่หินน้ำมันในจีนนั้นอยู่ระดับลึกลงไปใต้ดินมากกว่าที่ปรากฏในสหรัฐฯ 

ซึ่งเวลานี้ก๊าซธรรมชาติจากหินน้ำมันได้กลายเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในซัปพลายเชื้อเพลิงโดยรวมของประเทศไปแล้ว ข้อเท็จจริงเรื่องสภาพทางธรณีวิทยา เมื่อบวกกับเรื่องที่การก่อตัวของหินน้ำมันในจีนยังมีความซับซ้อนยุ่งยากมากกว่าในอเมริกาเหนืออีกด้วย 

ทำให้คาดหมายได้ว่าจะไปเพิ่มต้นทุนในการขุดค้น ยิ่งไปกว่านั้น ตามการศึกษาของ นีล เบเวอริดจ์ (Neil Beveridge) แห่งบริษัทแซนฟอร์ด ซี เบิร์นสไตน์ แอน โค. (Sanford C Bernstein & Co.) ที่บลูมเบิร์ก นิวส์ หยิบยกขึ้นมาอ้างอิงนั้น

“วิทยาการแร่ (mineralogy) ของหินน้ำมันในประเทศจีน โดยพื้นฐานแล้ว ... ไม่ใช่มาจากทะเล ซึ่งหมายความว่า ... มีส่วนประกอบของดิน (สูงกว่า) และทำให้แตกร้าวได้ยากกว่า”

ประเทศจีนกลายเป็นผู้นำเข้าก๊าซธรรมชาติสุทธิมาตั้งแต่ปี 2007 ถ้าหากการพัฒนาก๊าซธรรมชาติจากหินน้ำมันของแดนมังกรเองมีอันต้องล่าช้าออกไปแล้ว ก็จำเป็นที่จะต้องเพิ่มการสั่งซื้อมาจากพวกซัปพลายเออร์ต่างประเทศ 

ในช่วงสิ้นปีที่แล้ว เติร์กเมนิสถานได้ตกลงเพิ่มการส่งออกก๊าซธรรมชาติให้แก่จีน โดยเป็นก๊าซที่มาจากแหล่งเซาท์ โยโลทาน (South Yolotan) ซึ่งจีนกำลังช่วยเหลือในการพัฒนา จากปริมาณที่เคยตกลงไว้เดิมซึ่งอยู่ที่ 40,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ก็ปรับขึ้นเป็น 65,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี 

นอกจากนั้นในเวลานี้ยังกำลังมีการก่อสร้างสายท่อส่งก๊าซซึ่งจะลำเลียงก๊าซธรรมชาติปริมาณ 12,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีจากพม่า โดยมีกำหนดที่จะเริ่มให้บริการได้ในปี 2013 เรื่องก๊าซธรรมชาติตลอดจนน้ำมันยังเป็นหัวข้อที่ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือกัน ในระหว่างที่นายกรัฐมนตรี สตีเฟน ฮาร์เปอร์ (Stephen Harper's) ของแคนาดา เยือนปักกิ่งในเดือนนี้

จีนยังมีทางเลือกที่จะซื้อหาก๊าซรัสเซียจากไซบีเรียอีกด้วย โดยผ่านทางสายท่อส่ง 2 สาย แต่ละสายมีความสามารถในการลำเลียงขนส่งก๊าซธรรมชาติระหว่าง 28,000 ล้าน ถึง 39,000 ล้าน ลูกบาศก์เมตรต่อปี อย่างไรก็ตาม ถึงแม้บันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ระหว่างจีนกับรัสเซียในเรื่องโครงการต่างๆ เหล่านี้ 

ได้มีการลงนามกันไปแล้วตั้งแต่เมื่อ 6 ปีก่อน อีกทั้งได้มีการเจรจาต่อรองกันมาหลายต่อหลายรอบ รวมทั้งการหารือกันระหว่างผู้บริหารทางการเมืองระดับสูงสุดของแต่ละฝ่าย ทว่าก็ยังไม่มีการทำสัญญาที่ชัดเจนกันเสียที เนื่องจากยังคงตกลงกันไม่ได้ในเรื่องราคา 

แถมทั้งสองฝ่ายมีท่าทีที่จะต่อรองกันอย่างสุดฤทธิ์ และไม่มีหลักประกันเลยว่าจะบรรลุข้อสรุปสุดท้ายกันได้

ทางด้าน ซีนุค (CNOOC) และเปโตรไชน่า ยังได้ไปลงนามสัญญาซัปพลายระยะยาวเอาไว้แล้วหลายฉบับ เพื่อการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในปริมาณเท่ากับก๊าซธรรมชาติร่วมๆ 31,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี โดยเป็นการทำสัญญากับพวกกิจการทางเอเชียซึ่งได้แอลเอ็นจีจาก ออสเตรเลีย, อินโดนีเซีย, และมาเลซีย

ตามรายงานของนิตยสารบิสซิเนสวีก (Businessweek) บริษัท จีดีเอฟ สุเอซ (GDF Suez) ของฝรั่งเศส ให้ตัวเลขประมาณการเอาไว้ว่า ภายในปี 2020 จีนน่าจะจำเป็นต้องนำเข้าแอลเอ็นจีคิดเป็นปริมาณเท่ากับก๊าซธรรมชาติ 46,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี 

ถึงแม้จะต้องยอมรับว่าการประมาณการดีมานด์ความต้องการของจีนในช่วงเวลา 10 ปีนั้น เกือบๆ จะต้องใช้ศิลปะเท่าๆ กับการใช้วิทยาศาตร์ทีเดียว และตัวเลขประมาณการที่ออกมาอาจจะแตกต่างกันด้วยปัจจัยหนึ่งหรือสองประการ 

หรือกระทั่งเนื่องมาจากการพึ่งพาอาศัยระเบียบวิธีศึกษาที่ต่างกัน หรือกระทั่งจากการที่ไม่ได้ใช้ระเบียบวิธีอะไรทั้งสิ้น กระนั้นก็ตาม โดยภาพแล้วแล้ว เป็นที่คาดหมายกันว่าการขาดแคลนไม่เพียงพอน่าจะอยู่ในอัตราส่วนที่สูงทีเดียว 

ยกเว้นแต่เศรษฐกิจจีนที่ปัจจุบันยังมีการเติบโตขยายตัวได้อย่างมีชีวิตชีวา ต้องประสบความเสียหายเกิดการดำดิ่งอย่างแรง หรือ “ฮาร์ด แลนดิ้ง” (hard landing) เท่านั้น

ดร. โรเบิร์ต เอ็ม คัตเลอร์ http://www.robertcutler.org) สำเร็จการศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (เอ็มไอที) และมหาวิทยามิชิแกน และได้ทำงานวิจัยกับเป็นผู้บรรยายให้แก่มหาวิทยาลัยหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา แคนาดา ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ และรัสเซีย 

ปัจจุบันเป็นนักวิจัยอาวุโสของสถาบันยุโรป รัสเซีย และ ยูเรเชียศึกษา (Institute of European, Russian and Eurasian Studies) ซึ่งสังกัดอยู่ในมหาวิทยาลัยคาร์ลตัน ( Carleton University) ประเทศแคนาดา พร้อมกับนี้เขายังให้คำปรึกษาเป็นการส่วนตัวในหลายสาขา 


ขอบคุณ 
ผู้จัดการออนไลน์
ดร. โรเบิร์ต เอ็ม คัตเลอร์ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น