3/17/2555

ตอบอีเมล์ “พ่อค้ากับนักธุรกิจแตกต่างกันอย่างไร”

เมื่อไม่กี่วันก่อนมีลูกศิษย์ท่านนึ่งส่งอีเมล์มาหาผม  เห็นว่าอาจจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยเลยจะเอามาเล่าสู่กันฟัง...

-------------------------


เรียน อ.ทองแท้

อาจารย์ครับ ผมเรียน BBA ที่ มธ. ใกล้จบแล้วครับ  ก่อนจบต้องทำ Senior Project และสอบ Interview  อาจารย์ให้โจทย์ว่าพ่อค้ากับนักธุรกิจแตกต่างกันอย่างไร  รบกวนอาจารย์ช่วยให้ความเห็นด้วยครับ  ขอบคุณครับ  โจ


---------------


ตอบโจ
ครูดีใจมที่ยังคิดถึงครู และขอแสดงความยินดีล่วงหน้ากับความสำเร็จที่กำลังจะมาถึงของโจ

1. พ่อค้า แม่ค้า (Merchant) มีอาชีพทำการค้า การพาณิชย์ (Commerce) เพื่อแสวงหาผลกำไรในทุกรูปแบบ  โดยอาจละเลยมิติเชิงคุณภาพ  จิตใจ  คุณธรรม  อาชีพนี้ไม่ต้องใช้กระบวนการที่ซับซ้อนมากมาย เช่น ซื้อหรือผลิตขึ้นมาแล้วขายไป  มองคุณภาพของเพื่อนร่วมงานว่ามีอยู่พอๆกัน

2. นักธุรกิจ (Businessman) มีอาชีพทำธุรกิจ  มีจุดที่แตกต่างจากอาชีพค้าขาย ดังนี้ 

               2.1 มีกระบวนการที่ซับซ้อนกว่า เช่น มีแผนกต่างๆ เพื่อรองรับการเติบโตทางธุรกิจ  มีปรัชญาองค์กร  มีการตั้งเป้าหมายการเติบโตขององค์กรอย่างชัดเจน

               2.2 ให้ความสำคัญกับเพื่อนร่วมงาน ตั้งแต่การคัดสรรบุคลากรที่มีคุณภาพตามตำแหน่งหน้าที่  การดูแลรักษาบุคคลากร  การพัฒนาบุคลากร เป็นต้น

               2.3 นักธุรกิจจะให้ความสำคัญกับศักยภาพของบุคลากรเป็นอันดับแรก (เดี๋ยวนี้จะเรียกกันว่า ทรัพยากรมนุษย์หรือทรัพยากรบุคคล : Human Resorce) โดยมองว่าศักยภาพของบุคคลเป็นสิ่งมีคุณค่า ที่ทุกคนมีไม่เท่ากันและโยงไปถึงความสำเร็จของงานได้  จะเห็นว่าในแวดวงธุรกิจจะมีการซื้อตัวคนที่มีความรู้ ความสามารถกันอย่างเปิดเผย  เช่น โรงพยาบาลเอกชนจะซื้อตัวหมอจาก รพ.ของรัฐ ด้วยผลตอบแทนที่สูงกว่าหลายเท่า  พร้อมกับจ่ายเงินเพื่อชดใช้ทุนที่ค้างอยู่ 6-7 หลัก (บาท) ให้เสร็จ  หรือบริษัทเอกชนด้วยกันพร้อมที่จะซื้อตัวนักขาย นักการตลาดมือโปรด้วยผลตอบแทนที่สูงชนิดไม่อั้น และพร้อมที่จะรักษาไว้แบบ “ไข่ในหิน” ไม่ยอมให้ใครซื้อตัวไป เป็นต้น  สรุปคือนักธุรกิจจะให้ความสำคัญกับความสามารถและประสบการณ์อันเป็นที่ประจักษ์มากกว่าอาชีพค้าขายและถือว่าเป็นการลงทุน (Invest) อย่างหนึ่ง


โชคดีนะโจ
อ.ทองแท้



3/12/2555

โชว์เจ้าโลก รัสปูติน ยาว 11 นิ้ว!! 18+


 





...ช่าง ไม่น่าเชื่อจริงๆ สำหรับชายผู้มีลึงค์ที่ยาวถึง 11 นิ้ว แต่สิ่งที่น่าวิเศษกว่านั้นคือ เขาเป็นผู้ที่ถูกตั้งคำถามว่าเป็น นักบุญ หรือ ซาตาน และเขาผู้นั้นถือว่าเป็นผู้ทำให้ราชวงค์ที่ยิ่งใหญ่ของมหาอาณาจักรต้องสั่น คลอนและล่มสลายเพราะคำสาปแช่งของคนผู้นี้.................กริกอริ รัสปูติน !!




...กริกอริ รัสปูติน เกิดวันที่ 10 ม.ค. 1869 ที่ฝั่งแม่น้ำตูราในเมืองโตบอลส์ก ไซบีเรีย ครอบครัวของเขานั้นเป็นเกษตรกรธรรมดาๆ แต่ด้วยความพิเศษของรัสปูติน นั้นคือเขาเป็นคนที่มีอวัยวะเพศที่ใหญ่และยาวกว่าคนปกติมาก เนื่องด้วยรัสปูตินตอนเด็กเคยถูกโสเภณีล่อลวงไปทำอนาจาร จึงทำให้ชีวิตของเขานั้นต้องพบกับเหล่าโสเภณีและเรื่องเพศมากมายหลายครั้ง จนสุดท้ายเขาก็เริ่มติดใจและชอบในการกระทำดังกล่าว รวมถึงยังภูมิใจในความใหญ่และยาวของลึงค์วิเศษของเขา



...รัส ปูติน ได้แต่งงานกับเด็กสาวในท้องถิ่นเดียวกัน ชื่อ ปราสโกเวีย แต่เขาก็ยังคงชอบเที่ยวกับเหล่าโสเภณีอยู่ และจุดเปลี่ยนของเขาอยู่ตรงนี้ คือวันหนึ่งเขาได้ไปร่วมเพศกับเหล่าเด็กชาวท้องถิ่น และเด็กสาวเหล่านั้นชวนให้เขารู้จักกับศาสนานิกายประหลาดที่มีชื่อว่า นิกายคลิสติ โดยกลุ่มศาสนิกชนกลุ่มนี้เป็นผู้ยึดถือใความเชื่อว่ามนุษย์มีบาปมาแต่เริ่ม แรก จึงต้องมีการชำระบาป เขาจึงประกอบพิธีอันพิลึกพิลั่นหลายอย่างเกี่ยวกับความวิตถารในทางกามารมณ์ และการบูชายัญ ผู้คนในบ้านเกิดของรัสปูตินไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมเหล่านี้ จึงขับไล่รัสปูติน เขาจึงได้เดินทางไปทั่วรัสเซียและเผยแพร่ศาสนานิกายคลิสติ โดยอาศัยความพิเศษของอวัยวะเพศของเขา เป็นตัวดึงดูดหญิงสาวในการไถ่บาป โดยเชื่อว่าการไถ่บาปสามารถทำได้ผ่านการปลดปล่อยทางกามารมณ์ และด้วยความวิเศษเหล่านี้รัสปูตินสามารถเป็นเหมือนหมอเทวดาในการรักษาโรค โดยโรคใดที่เห็นว่าไม่มีทางรักษา รัสปูตินผู้นี้สามารถรักษาได้ ขอเพียงมีความเชื่อในศาสนานิกายคลิสติในการไถ่บาปนั้นเอง



Bimbo the Boa has fallen in love with Rasputin's detachable penis.





แม้ว่ากริกอรี่ รัสปูติน จะกักขฬะสกปรกและแลอะเทอะ แต่บทวิเคราะห์ของโรเบิร์ต แมสซี่ น่าสนใจมาก “รส สังวาสกับนักบวชบ้านนอกที่ไม่ได้อาบน้ำ หนวดเครารกรุงรังฝ่ามือกร้านสกปรก ได้ก่อเกิดความเสียวซ่านแบบใหม่ในสังคมระดับสูงชนชั้นขุนนาง" ว่า กันว่า....ศิวลึงค์ของเขาขาดแค่ ๑ นิ้ว ก็จะยาวเท่าไม้บรรทัดมาตรฐาน ฟังดูแล้วชายชาตรีเช่นเราไม่รู้จะอิจฉา หรือเวทนาความบอบช้ำบนฐานโยนี

...จุดสำคัญอยู่ที่ วันหนึ่งเจ้าชายอเล็กซิส บุตรขององค์ราชาซาร์ นิโคลัสที่2 และองค์ราชินีซารีน่า อเล็กซานดรา ได้ล้มป่วยลงเนื่องจากโรคฮีโมฟีเลีย (เลือกไหลไม่หยุด) ไม่มีทางรักษาได้ และด้วยขณะนั้นรัสปูตินได้เข้ามาอยู่ในเซนต์ปีเตอร์เบอร์ก เมืองหลวงรัสเซียในขณะนั้น ชื่อเสียงในการรักษาโรคของรัสปูตินได้เลื่องลือมาถึงหูของราชินีอเล็กซานดรา รัสปูตินจึงได้ถูกรับเชิญเข้ามารักษาองค์ชายอเล็กซิส และด้วยความวิเศษของรัสปูติน เขาได้รักษาองค์ชายจนอาการดีขึ้น ซารีน่า อเล็กซานดร้า ผู้เป็นพระราชมารดาชอบอกชอบใจรัสปูตินเป็นอันมาก รัสปูตินจึงอาศัยอิทธิพลของซารีน่าแผ่อิทธิพลและสร้างเรื่องอื้อฉาวทาง กามารมณ์จนเป็นที่กล่าวขวัญในเมืองหลวง มีสตรีสมัยใหม่ ชนชั้นสูง ภรรยาทหารใหญ่จำนวนมากมายในนครหลวงที่ตกเป็นทาสกามของรัสปูตินอย่างเต็มใจ จนบางครั้งมีข่าวลือว่าซารีน่าก็อาจเป็นหนึ่งในจำนวนผู้หญิงเหล่านั้นด้วย ซึ่งด้วยพฤติกรรมเหล่านี้ สร้างความไม่พอใจอย่างยิ่งกับเหล่าขุนนางชายในราชสำนักเป็นอย่างยิ่ง

{องค์ชายอเล็กไซ คนไข้ที่พลิกชีวิตรัสปูติน}



...เจ้า ชายเฟล็กซ์ ยูสโซปอฟ ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้มั่งคั่งที่สุดองค์หนึ่ง ได้ร่วมมือกับกลุ่มข้าราชบริพานในการสังหารรัสปูติน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถสังหารรัสปูตินได้ ทั้งวางยาพิษ ลอบยิง หลายครั้ง จนวันหนึ่งรัสปูตินได้มีจดหมายถึงราชินีซารีน่า ความหนึ่งว่า"หากกระหม่อมตายด้วยน้ำมือของปุถุชนทั่วไป ราชวงค์โรมานอฟไม่กระทบกระเทือนอันใด และจะเกิดไปอีกเป็น100ปี แต่หากกระหม่อมตายด้วยน้ำมือของเชื้อพระวงศ์องค์ใดก็ตาม พระองค์และครอบครัวจะต้องสิ้นพระชนม์ภายในสองปี จากฝีมือของประชาชนรัสเซีย " ... ซึ่งไม่นานรัสปูติน ก็ถูกสังหารจากการระดมยิงจากเจ้าชายเฟล็กซ์ และพรรคพวก แม้ว่าเขาจะมีความวิเศษเพียงใด เขาก็ต้องล้มตายลง และหลังจากนั้นไม่ถึง3 เดือน กระแสแห่งการปฏิวัติหลั่งไหลเข้ามาสู่นครหลวงของรัสเซีย ขบวนชาวนาและคนงานอุตสาหกรรม ได้มีการประท้วงเกิดขึ้นอย่างท้วนหน้า จนเกิดการสังหารใหญ่จากการสั่งการของซาร์ นิโคลัส ประชาชนจึงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง จึงเกิดการจลาจลวุ่นวาย ชัยชนะของเคอเรนสกี้ผู้นำกลุ่มทหาร และสุดท้ายซาร์ก็จำต้องสละราชบัลลังก์ พระองค์และเชื้อพระวงศ์ถูกควบคุมตัวอย่างแข็งแรง และถูกนำไปกักขังไว้ ณ ไซบีเรียอันห่างไกลและกันดาร โดยยังเชื่อกันว่าเจ้าหญิงผู้งดงาม ไร้เดียงสา และบริสุทธิ์ทั้ง 4 องค์ ก็ไม่รอดพ้นการย่ำยีทางเพศ จากทหารเลว นับเป็นชะตากรรมที่พลิกผันชีวิตอันสูงส่ง ลงมาต่ำสุดอย่างน่าสมเพชยิ่งนัก และหลังจากนั้นมีการสังหารหมู่ราชวงค์โรมานอฟ จนสิ้นวงค์ตระกูล....

{เจ้าชายเฟลิกซ์(ซ้าย) คนสำคัญที่วางแผนสังหารรัสปูติน}
...จาก ชายที่มีลึงค์ยาว 11 นิ้ว มาจนถึงการสิ้นสุดของกษัตริย์ราชวงค์สุดท้ายของรัสเซีย ขึ้นอยู่กับวิจารญาณของท่านทั้งหลายเกี่ยวกับคำสาปของรัสปูติน แต่ที่เป็นการยอมรับโดยทั่วไปว่า รัสปูตินได้สร้างความสั่งคลอนและถือว่าเป็จุดเริ่มต้นของความล่มสลายของราช วงค์โรมานอฟ กษัตริย์ราชวงศ์สุดท้ายของรัสเซีย....
แกรนด์ดยุคดิมิทรี พัฟโลวิช คนสำคัญที่ร่วมวางแผนสังหารรัสปูติน
(เพิ่ม เติม1 : หลังจากพระเจ้าซาร์ได้สละราชบัลลังค์ มีการ มีการจัดตั้งคณะรัฐบาลเฉพาะกิจเคอเรนสกี้ขึ้นบริหารประเทศ แต่พรรคบอลเชวิค Bolshevik นำโดยวลาดิมีร์ เลนินก็ทำการปฏิวัติยึดอำนาจการบริหารประเทศไว้ได้ โดยการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ พร้อมทั้งประกาศให้ประเทศเป็นสหภาพโซเวียต Union of Soviet Socialist Repubilcs หรือUSSR ปีค.ศ. 1918 ย้านเมืองหลวงและฐานอำนาจกลับสู่มอสโคว์)

(เพิ่ม เติม2 : มีนักประวัติศาสตร์หลายท่านสงสัยว่าเจ้าชายเฟล็กซ์ ยูสซูปอฟ เป็นเกย์ และอิจฉาเหล่าหญิงสาว ที่มีโอกาสได้เชยชมกับอวัยวะเพศอันวิเศษของรัสปูติน เจ้าชายเฟล็กซ์จึงสังหารรัสปูติน และตัดลึงค์เก็บไว้เป็นที่ระลึก)
นิดนึงนะสำหรับอวัยวะที่ถูกตัดทิ้ง

หรับ อวัยวะเพศของรัสปูตินที่ถูกโยนไปนั้น มีเรื่องเล่ากันว่า มีคนรับใช้ผู้ชายได้เก็บ “ สิ่งที่ถูกเหวี่ยงทิ้ง ” ไปให้แก่สาวใช้คนหนึ่ง และปรากฏว่าได้พบตัวสาวใช้ผู้นั้นที่ปารีสในปี พ.ศ. 2511 หล่อนยังเก็บรักษา “ สิ่งที่ดูคล้ายกล้วยหอมซึ่งงอมจัดจนดำไปหมด ” ไว้ในหีบไม้ขัดมัน
และแล้วเจ้าโลกชิ้นนั้นก็ ปรากฏ




สำนักของ Rusputin

 


 


 
  
และนี่เองที่ทำให้รัสปูตินได้มีโอกาส คลุกคลีกับสาวสรรพ์กำนัลในแห่งพระราชวัง จนกลายเป็นข่าวลืออื้อฉาวถึงสัมพันธ์สวาทที่เขามีต่อเหล่านางข้าหลวง ตลอดจนเจ้าหญิง และแม้กระทั่งซารีน่าอเล็กซานดราก็มิได้เว้น!
ยาพิษและกระสุนปืนไม่ระคายเคืองแก่รัสปูติน แต่เขาตายเพราะจมน้ำ!


Gregori เกิดเมื่อไหร่ ไม่รู้แจ้ง
แต่หลายแหล่ง มกรา น่าเชื่อถือ 

ปีหนึ่ง แปด หกเก้า เขาล่ำลือ 
และยึดถือ ทั่วไป ว่าใช่จริง 

ปีหนึ่งแปด เจ็ดหนึ่ง น่าทึ่งกว่า 
บนฟากฟ้า อุกาบาต ปีศาจสิง 
ผู้คนกลัว หัวหด มีอ้างอิง 
ต่างวนวิ่ง หนีหาย คล้ายลานลน 

ตำนานเล่า กล่าวว่า เป็นอาเพศ
คนพิเศษ มากำเนิด เกิดอีกหน
คือนักบวช ในคราบ ปถุชน
โกลาหล อำนาจ สุดคาดเดา




Credit :  http://atcloud.com/stories/76335

3/05/2555

นอนยาวรวดเดียวผิดธรรมชาติ ตื่นพักเบรกกลางดึกดีกว่า







เมื่อตื่นมากลางดึกทีไร เรามักเป็นกังวลว่าถ้านอนต่อเนื่องไม่นานพอ จะส่งผลต่อร่างกาย แต่นั่นอาจจะเป็นเรื่องที่ดี เพราะทั้งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และร่องรอยจากประวัติศาสตร์กำลังชี้ว่า การนอนติดต่อกันยาวถึง 8 ชั่วโมงอาจเป็นเรื่องผิดธรรมชาติสำหรับมนุษย์เรา
       
       รูปแบบธรรมชาติ เรานอนคืนละ 2 ครั้ง
       
       ช่วงต้นคริสต์ศักราช 1990 ดร.โทมัส เวอร์ (Thomas Wehr) จิตแพทย์แห่งสถาบันสุขภาพจิตแห่งสหรัฐฯ (US Institute of Mental Health) ได้ทดลองนำคนกลุ่มหนึ่ง ให้อยู่ในความมืดวันละ 14 ชั่วโมง ทุกๆ วัน เป็นเวลา 1 เดือน ซึ่งพวกเขาได้นอนหลับยาวตามปกติ แต่ในสัปดาห์ที่ 4 กลุ่มตัวอย่างได้ปรับวิธีการนอน โดยพวกเขาหลับไปใน 4 ชั่วโมงแรก และตื่นขึ้นประมาณ 1-2 ชั่วโมง จากนั้นก็หลับครั้งที่ 2 อีก 4 ชั่วโมง
       
       ผลการทดลองดังกล่าวดูเป็นข้อค้นพบที่น่าทึ่ง แต่ก็ยังไม่แข็งแรงพอที่จะแย้งกับความรู้ที่แพร่หลายว่า การนอนยาว 8 ชั่วโมงเป็นการพักผ่อนที่ดีต่อสุขภาพ
       
       จากนั้นในปี 2001 โรเจอร์ เอคริช (Roger Ekirch) นักประวัติศาสตร์ แห่งเวอร์จิเนียเทค (Virginia Tech) ได้ตีพิมพ์รายงานที่ค้นคว้ามากว่า 16 ปีด้วยการรวบรวมหลักฐานมากมาย ทั้งบันทึกประจำวัน บันทึกศาล รายงานทางการแพทย์ รวมถึงวรรณกรรมกว่า 500 แหล่งที่ชี้ว่าพฤติกรรมการนอนของมนุษย์เราแบ่งเป็น 2 ช่วง
       
       ทั้งนี้ การค้นคว้าดังกล่าวสอดคล้องกับผลการศึกษาของเวอร์ และเอคริชได้เพิ่มเติมว่า การหลับครั้งแรกของคนเรานั้น เริ่มหลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง (20.00 น.) และจะตื่น (ประมาณเที่ยงคืน) อยู่ 2 ชั่วโมง จากนั้นก็หลับอีกเป็นครั้งที่ 2 (ประมาณ 2.00 น.)
       
       ในช่วงระหว่างการตื่นนอนนั้น มนุษย์จะกระฉับกระเฉงมาก ส่วนใหญ่ก็จะลุกไปเข้าห้องน้ำ สูบบุหรี่ แม้กระทั่งเดินไปเยี่ยมเพื่อนบ้าน แต่ก็มีอีกส่วนที่ยังคงอยู่บนเตียง เขียนอ่านหนังสือ หรือสวดมนต์ ซึ่งในช่วงศตวรรษที่ 15 มีหลายหลักฐานระบุถึงการสวดมนต์เป็นกรณีพิเศษระหว่างการตื่นกลางดึก
       
       ถ้าใครที่มีเพื่อนร่วมเตียง ก็เป็นโอกาสในการสนทนาหรือร่วมรักกัน ซึ่งจากคู่มือแพทย์ฝรั่งเศส ในศตวรรษที่ 16 ได้แนะนำให้คู่แต่งงานได้พลอดรักหลังจากหลับรอบแรก เพราะจะสร้างความสุขได้มากกว่าการมีกิจกรรมทางเพศก่อนเข้านอน เพราะยังคงเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวัน
       
       สังคมเมือง พาคนเข้านอนรวดเดียว
       
       อย่างไรก็ดี เอคริชพบว่า ข้อมูลการนอน 2 ครั้งนั้น เริ่มหายไปในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 เมื่อผู้คนเริ่มใช้ชีวิตแบบสังคมเมืองกันมากขึ้น 
       
       เครก คอสลอฟสกี (Craig Koslofsky) นักประวัติศาสตร์ เจ้าของหนังสือที่รวบรวมประวัติศาสตร์ยามราตรี (Evening's Empire) อธิบายว่า ช่วงกลางคืนในยุคก่อนศตวรรษที่ 17 นั้น ไม่เอื้อให้ผู้คนออกนอกบ้าน เพราะยามราตรีคือเวลาของคนไม่ดี มีทั้งอาชญากรรม การขายบริการทางเพศ ผู้คนที่เมามาย ในยามวิกาลจึงไม่คุ้มค่าพอที่จะออกไปสร้างสังคม
       
       อีกทั้ง ในช่วงการปฏิรูปคริสต์ศาสนา ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ นักบวชทั้งคาทอลิกและโปรเตสแตนท์ ต่างเลือกที่จะปฏิบัติพิธีกรรมศาสนาแบบลับๆ ในยามวิกาล เพราะเกิดการไล่ทำร้ายและสังหารผู้นับถือคริสตศาสนา ทำให้รูปแบบของสังคมก็ปรับสภาพไปในทางเดียวกัน
       
       สมัยนั้นการออกมาทำกิจกรรมยามค่ำคืน นั่นหมายถึงต้องมีแสงสว่าง และผู้ที่หาซื้อเทียนไขได้ก็คือผู้ที่มีฐานะ ดังนั้นความสามารถในการสร้างแสงสว่างยามมืดจึงกลายเป็นการแบ่งชนชั้น
       
       อย่างไรก็ดี เมื่อแสงไฟจากทางการได้ติดตั้งไว้ตามท้องถนน ก็ส่งผลให้ผู้คนต่างฐานะออกมาใช้ชีวิตยามราตรีได้เช่นกัน โดยในปี 1667 ที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส เป็นเมืองแรกของโลก ที่มีแสงไฟตามท้องถนน ด้วยเทียนไขในตะเกียงแก้ว จากนั้นไม่เกิน 10 ปี เมืองต่างๆ ในยุโรปก็สว่างไสวในเวลากลางคืนไม่แพ้กัน
       
       เมื่อความสว่างกระจายไปทั่ว การออกไปสังสรรค์ยามค่ำคืนก็กลายเป็นแฟชั่น และการพักผ่อนอยู่บนเตียงถือเป็นการปล่อยเวลาโดยเปล่าประโยชน์
       
       ยิ่งเมื่อเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ในศตวรรษที่ 19 เวลาเป็นของมีค่า กิจกรรมหลายอย่างจึงเกิดขึ้นอย่างรวบรัด ซึ่งเอคริชเล่าว่า ผู้คนเริ่มเพิ่มเวลาในการตื่นมากขึ้น และมีวิธีการนอนที่เปลี่ยนไป โดยหลักฐานจากวารสารทางการแพทย์ในปี 1829 ระบุว่า พ่อแม่เริ่มให้ลูกนอนยาว โดยไม่มีการนอนครั้งที่ 2 
       
       ถ้าไม่ได้เจ็บป่วยเป็นโรคหรือประสบอุบัติเหตุใดๆ พวกเขาก็จะไม่มีการหลับต่อเป็นรอบที่ 2 อีก เมื่อการนอนครั้งที่ 1 จบลง ก็ถือว่าได้เป็นการพักผ่อนตามเวลาปกติ และถ้าใครนอนต่อเป็นครั้งที่ 2 ก็จะถูกมองว่าเป็นคนขี้เกียจขี้เซา ไม่ดีต่อบุคลิกและความน่าเชื่อถือ
       
       อย่ากังวลไป เมื่อไม่ได้นอนยาว
       
       ปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ปรับตัวเป็นนอนหลับวันละ 8 ชั่วโมงกันแล้ว ซึ่งเอคริชเชื่อว่า นี่เป็นเหตุนำไปสู่โรคที่เกี่ยวกับการนอน เพราะตามธรรมชาติร่างกายมนุษย์ต้องการนอนหลับเป็นช่วง การนอนยาวในคราวเดียว ซ้ำยังมีแสงไฟสังเคราะห์ในช่วงเวลานอนที่ควรมืดสนิท จึงกลายเป็นปัญหา บางทีอาจเป็นต้นเหตุของโรคนอนไม่หลับ (insomnia)
       
       ทางผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับผิดปกติ อย่างเกรก จาคอบส์ (Gregg Jacobs) จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเมสซาซูเซ็ตส์ ได้อธิบายถึงพัฒนาการในการนอนตามหลักสรีรศาสตร์ มนุษย์ส่วนใหญ่จะต้องตื่นขึ้นมากลางดึก ซึ่งการนอนรวดเดียวนานๆ นี้ เป็นแนวคิดที่สร้างความเสียหาย เพราะการตื่นระหว่างคืนสร้างความกังวลใจให้แก่เรา ซึ่งความกังวลใจนี้ ก็จะทำให้เราหลับต่อไม่ลง และจะทำให้เราง่วงในยามที่ต้องตื่น
       
       รัสเซลล์ ฟอสเตอร์ (Russell Foster) ศาสตราจารย์ด้านประสาทวิทยา กิจวัตรร่างกาย (circadian) แห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ได้แสดงความเห็นว่า มีคนมากมายรู้สึกกังวลที่ตื่นขึ้นมากลางดึก ซึ่งนั่นคือการกลับไปสู่พฤติกรรมการนอน 2 ครั้งแบบดั้งเดิม ทว่าแพทย์ส่วนใหญ่ก็ยังคงไม่เชื่อว่าการนอนต่อเนื่อง 8 ชั่วโมงเป็นรูปแบบที่ผิดธรรมชาติ
       
       “มากกว่า 30% ของปัญหาทางการแพทย์ เกี่ยวข้องกับการนอนทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่ความรู้เกี่ยวกับการนอนหลับนั้น ไม่ค่อยได้รับการสนใจ ทั้งในโรงเรียนแพทย์และการวิจัย ไม่ค่อยมีการศึกษาเรื่องนี้” ฟอสเตอร์กล่าว
       
       “ทุกวันนี้ เราให้เวลากับการนอนหลับน้อยมาก ซึ่งจำนวนผู้เกิดภาวะเครียด กังวลใจ ซึมเศร้า ติดเหล้ายาที่เพิ่มขั้นทุกวันนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกี่ยวข้องกันกับการพักผ่อนที่ไม่เต็มที่” ดร.จาคอบส์ชี้ และได้แนะนำให้มีช่วงที่ตื่นขึ้นระหว่างหลับ เพราะร่างกายจะได้จัดการกับความเครียดได้โดยธรรมชาติ
       
       นับจากนี้ ถ้าใครต้องตื่นขึ้นมากลางดึก อย่าได้เป็นกังวลไป ทำใจให้สบายแล้วนึกถึงบรรพบุรุษของเราที่มีรูปแบบการนอนเช่นเดียวกันนี้ และไม่แน่ว่าอาจจะดีกว่าสำหรับมนุษย์อย่างเราๆ ก็ได้




3/04/2555

ไม่ควรตัดสินใครง่ายๆ (อีกเรื่องดีๆที่อยากให้อ่านกัน)




หมอคนหนึ่งได้รีบร้อนเข้าโรงพยาบาลมาหลังจากได้รับโทรศัพท์ผ่าตัดด่วน เปลี่ยนเสื้อผ้า และมุ่งสู่โซนผ่าตัด



หมอได้พบกับ พ่อของเด็กชายที่ไปๆมาๆอยู่ในห้องโถงและกำลังรอหมออยู่ ตอนที่หมอเจอ พ่อของเด็กโวยวาย "ทำไมคุณเสียเวลากว่าจะมาได้? คุณรู้ไหมชีวิตลูกชายของผมอยู่ในอันตราย? คุณมีความรู้สึกรับผิดชอบบ้างไหม?"

หมอยิ้มและพูดว่า
"ผมขอโทษ, เผอิญผมไม่ได้อยู่ในโรงพยาบาล และผมก็มาอย่างเร่งด่วนที่สุดทันทีที่รับโทรศัพท์.....และตอนนี้ ผมต้องการให้คุณใจเย็นๆ ผมจะได้ทำงานได้"

"ใจเย็น?! ถ้าลูกชายของคุณเป็นคนที่อยู่ในห้องตอนนี้, คุณจะใจเย็นไหม? ถ้าลูกชายของคุณตายคุณจะทำยังไง??" พ่อพูดอย่างโกรธกริ้ว

หมอยังยิ้มและตอบกลับไปว่า "ผมจะพูดเกี่ยวกับงานของหมอในพระคัมภีร์ 'จากฝุ่นละอองที่เราเกิดมา และฝุ่นละอองที่เรากลับไป พรในนามของพระเจ้า' หมอไม่สามารถต่อชีวิตมนุษย์ได้ ไปขอร้องพระเจ้าเพื่อลูกชายของท่านเถอะ เราจะทำอย่างดีที่สุด โดยประสงค์ของพระเจ้า"

"พูดคำแนะนำเมื่อคนเราไม่สนใจ มันง่าย.." พ่อบ่นพึมพำ

การผ่าตัดใช้เวลาไปหลายชั่วโมง หมอออกมาอย่างมีความสุข "ขอบคุณพระเจ้า ลูกชายของคุณปลอดภัย!"

และยังไม่ทันได้รอคนเป็นพ่อพูดอะไร หมอบอกพ่อของเด็กตอนที่วิ่งรีบออกไป "ถ้าสงสัยอะไร, ให้ถามพยาบาล!"

"ทำไมหมอถึงยโสอย่างนี้? รอผมถามคำถามเกี่ยวกับลูกชายซักคำก็ไม่ได้" พ่อของเด็กติให้พยาบาลฟัง ทันทีที่หมอไป

น้ำตาไหลรินผ่านใบหน้าของพยาบาล เธอตอบว่า "ลูกชายของหมอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนนเมื่อวาน หมอเขาอยู่ในพิธีงานฝังศพตอนที่เราโทรตามหมอเพื่อมาผ่าตัดลูกชายคุณ. และตอนนี้เขาช่วยชีวิตลูกชายคุณเสร็จแล้ว เขาจึงรีบวิ่งเพื่อไปพิธีฝังศพลูกชายของเขาให้เสร็จ"

คนเราไม่ควรวิพากษ์คนซักคน เพราะคุณไม่เคยรู้ว่าชีวิตของพวกเขาเป็นยังไง เกิดอะไร และผ่านอะไรมา

© แปลและเรียบเรืยงโดย: Pokpong Ponga

3/01/2555

คนเรารู้สึก“เสียใจ”กับเรื่องอะไรบ้าง ก่อนเสียชีวิต?

หลังจากวันแห่งความรักผ่านไป ขออนุญาตซึ้งแบบพลิกอารมณ์สักหน่อยนะครับ บทความชิ้นนี้ตั้งใจว่า หลังจากที่เพื่อนๆ ให้ความรักกับคนรอบข้างแล้ว ลองมาดูว่า จะรักและตระหนักกับการใช้ชีวิตของตัวเองให้มีคุณค่ามากขึ้นได้อย่างไร
ก่อนหน้านี้ เคยนำเสนอบทความเรื่อง “ก่อนตาย”…เราเห็นอะไร? ที่ได้ไปสำรวจคนจำนวนหนึ่งที่หัวใจของพวกเขาเคยหยุดเต้น และฟื้นขึ้นมาจากการปั๊มหัวใจ ว่าในเวลาที่หัวใจของพวกเขากำลังจะหยุดเต้นนั้น เขาเห็นอะไรกันบ้าง บทความนี้อาจจะนับเป็นอีกภาคหนึ่งก็ได้ เพราะมันกำลังจะบอกเราว่า คนที่ป่วยหนักและรู้ตัวว่ากำลังจะเสียชีวิต เขารู้สึกเสียใจเรื่องอะไรบ้าง

Old Thai woman, near Chiang Rai
รอยยิ้มที่แสนน่ารักของคุณยายชาวเชียงรายใกล้สามเหลี่ยมทองคำ

หนังสือขายดีใน Amazon เล่มหนึ่ง ชื่อว่า “The Top Five Regrets of the Dying” เขียนโดย Bronnie Ware ซึ่งเป็นคนดูแลผู้ป่วยที่รู้ตัวว่ากำลังจะเสียชีวิตและกลับไปอยู่ที่บ้านเพื่อรอวันตาย โดยเธอจะอยู่กับผู้ป่วยเหล่านี้ในช่วงสามถึงสิบสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่ผู้ป่วยจะเสียชีวิต ในช่วงเวลาดังกล่าว เธอได้มีโอกาสพูดคุยและรับฟังความในใจของผู้ป่วยเหล่านี้ เมื่อถามถึงสิ่งที่เสียใจหรือสิ่งใดๆ ก็ตามที่อยากจะย้อนอดีตไปเปลี่ยนแปลงนั้น เธอพบว่ามีอยู่ห้าประเด็นหลักๆ

ประเด็นแรก พวกเขาน่าจะใช้ชีวิตตามความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง มากกว่าตามความคาดหวังของคนอื่น (I wish I’d had the courage to live a life true to myself, not the life others expected of me.)
เกือบทุกคนที่กำลังจะเสียชีวิตจะพูดถึงประเด็นนี้ เมื่อพวกเขารู้ตัวว่าชีวิตได้ล่วงเลยมาจนถึงขั้นนี้แล้ว และย้อนกลับไปมองอดีต เขาจะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่าอะไรที่อยากทำ อะไรที่ได้ทำ และอะไรที่ยังไม่ได้ทำ
กว่าพวกเขาจะรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่ควรจะเดินตามความฝันของตัวเอง หรืออย่างน้อยก็แค่พยายาม มันก็สายเกินไป สุขภาพของพวกเขาเอาอิสรภาพในการตัดสินใจทำไปจากพวกเขาแล้ว และก็ไม่มีวันจะคืนให้เขาอีกต่อไป

ประเด็นที่สอง พวกเขาจะไม่ทำงานหนัก (I wish I didn’t work so hard.)
งานหนักที่พวกเขาเคยรู้สึกว่าไม่ทำไม่ได้นั้น พาพวกเขาออกห่างจากชีวิตส่วนตัว ลูกๆ ครอบครัว และคนสำคัญของชีวิต พวกเขาไขว่คว้าและวิ่งตามแต่เงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ หรือแม้กระทั่งการยอมรับจากคนที่อยู่นอกวงกลมของชีวิต โดยที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าตัวเองทำอย่างนั้น
พวกเขาคิดว่าพวกเขาน่าจะมีตารางเวลาที่ดี แสวงหาเงินทอง ชื่อเสียง หรือเกียรติยศเท่าที่พอเพียง และแบ่งเวลาไปให้กับชีวิตส่วนตัว ลูกๆ ครอบครัว และคนสำคัญของชีวิต เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมื่อพวกเขาหมดลมหายใจ จะไม่มีอะไรที่ติดตัวพวกเขาไปเลยสักอย่างเดียว

ประเด็นที่สาม พวกเขาน่าจะกล้าแสดงความรู้สึกของตัวเองให้มากกว่านี้ (I wish I’d had the courage to express my feelings.)
คนจำนวนมากเก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ข้างใน เพราะเกรงใจ เพราะกลัวคนจะว่า เพราะกลัวจะไปขัดใจคนอื่น แต่ความรู้สึกเหล่านั้นจะนำมาซึ่งความเครียด และความรู้สึกไม่ดีกับตัวเองในภายหลัง นอกจากนี้ ความต้องการแสดงความรู้สึกของตัวเองไม่ได้มีเฉพาะด้านลบเท่านั้น พวกเขายังไม่แทบจะไม่ได้แสดงความรู้สึกดีดีออกไปให้บางคนที่ได้รับรู้ในสถานการณ์นั้นๆ เมื่อเวลาผ่านมา จนถึงที่พวกเขากำลังจะเสียชีวิต หลายคนก็เสียชีวิตไปก่อนเขา และหลายครั้งมันก็เลยสถานการณ์นั้นๆ มานานแล้ว
หากพวกเขาได้แสดงความต้องการออกไปอย่างที่ตัวเองรู้สึก ทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดีนั้น จะทำให้พวกเขาไม่มีอะไรค้างคาอยู่ในใจ รู้สึกดีกับตัวเองมากกว่านี้ และเป็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง

ประเด็นที่สี่ พวกเขาจะอยู่กับเพื่อนเก่าๆ ให้นานกว่านี้ (I wish I had stayed in touch with my friends.)
บ่อยครั้งที่พวกเขารับรู้ถึงความสุขที่แท้จริงจากการได้อยู่กับเพื่อนเก่าๆ ก็ต่อเมื่อตัวเขาเองกำลังจะเสียชีวิตลง หรือเพื่อนๆ ของเขาเหล่านั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว ที่ผ่านมา พวกเขาก็ห่างเหินจากเพื่อนเก่าๆ ที่สนิทกันมากๆ ไปเป็นปีๆ และเมื่อพวกเขากำลังจะเสียชีวิต พวกเขาก็รู้สึกเสียใจกับช่วงเวลาที่ผ่านมา
มันอาจจะดูเป็นเรื่องธรรมดาที่ชีวิตอันยุ่งเหยิงจะพาเราออกจากเพื่อนๆ แต่เมื่อเรากำลังจะเสียชีวิตลง พวกเขากลับต้องการเพื่อนๆ พูดคุย เห็นหน้า ดูหนังด้วยกัน ไปเที่ยวกัน มากกว่าเรื่องอื่นๆ เสียอีก

ประเด็นที่ห้า พวกเขาน่าจะทำให้ชีวิตมีความสุขมากกว่านี้ (I wish that I had let myself be happier.)
เป็นเรื่องน่าแปลกใจมาก เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่กำลังจะเสียชีวิตกลับตระหนักว่า ความสุขนั้นอยู่ที่ตัวเราเอง พวกเขาดำเนินชีวิตแบบเดิมๆ ใช้ชีวิตแบบซ้ำๆ แล้วก็หลอกตัวเองว่าสิ่งที่ทำอยู่มันดีอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งก็เพราะกลัวการเปลี่ยนแปลง หรือไม่ก็ไม่อยากจะลำบากต้องเปลี่ยนแปลงอะไร
เมื่อพวกเขากำลังจะเสียชีวิต และย้อนเวลากลับไปนึกถึง พวกเขารู้สึกว่าความสุขในชีวิตนั้น เกิดจากสิ่งที่เขาเลือก อะไรก็ตามที่ทำอยู่ซ้ำๆ จะไม่ได้ให้อะไรกับชีวิตมากนัก แต่จุดเปลี่ยนแปลงของชีวิตที่เป็นไปตามความต้องการของตนเองนั้น ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว มีความหมายกับชีวิตมากกว่านัก

Thailand
รอยยิ้มที่ดูจริงใจมากของชายไทยชาวชนบทคนหนึ่ง



ที่มา  http://setthasat.com/2012/02/16/the-top-five-regrets-of-the-dying/

"จดโน้ต” อย่างไรให้เวิร์ค?

เวลานั่งเรียนหรือนั่งฟังสัมมนา แล้วมีกระดาษว่างๆ วางอยู่ หน้ากระดาษแผ่นนั้นก็คือทรัพยากรที่มีจำกัด เคยสงสัยกันไหมว่า จะจดอย่างไรบนหน้ากระดาษแผ่นนั้นให้เกิดการจัดสรรที่เป็นประโยชน์สูงที่สุด แนวทางการจดโน้ตของมหาวิทยาลัย Cornell จะช่วยให้เราแบ่งหน้ากระดาษได้อย่างมีประสิทธิภาพ
[1]

วิธีการจดโน๊ตแบบ Cornell (Cornell Note-taking) เป็นวิธีการบันทึกที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง และมีงานวิจัยจำนวนมากรองรับว่าเป็นวิธีการใช้พื้นที่หน้ากระดาษได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Jacobs (2008) ได้นำเสนองานวิจัยที่ยืนยันว่าวิธีการจดโน๊ตแบบ Cornell มีประสิทธิภาพจริง โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้จดเน้นการสังเคราะห์ (Synthesize) และประยุกต์ใช้ความรู้ (Apply Learned Knowledge) แต่ก็อาจไม่ได้ผลดีนักหากผู้จดต้องการท่องจำ

[2]

วิธีการจดโน๊ตแบบ Cornell เริ่มจากการแบ่งกระดาษออกเป็น ๓ ส่วน ตามรูปที่ ๑

รูปที่ ๑ แม่แบบ Cornell Note

แต่ละส่วนจะถูกใช้ตามหน้าที่ต่อไปนี้
  • ส่วนที่ ๑ เป็นพื้นที่ที่ใหญ่ที่สุด เรียกว่า Note-taking Area สำหรับจดทุกอย่างเท่าที่จะจดได้ ในช่วงที่นั่งเรียนหรือสัมมนาอยู่
  • ส่วนที่ ๒ เรียกว่า Cue Column สำหรับบันทึกประเด็นสำคัญ เชื่อมโยงจากส่วนที่ ๑ โดยเป็นคำสำคัญ (Keywords) หรือคำถามก็ได้ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ ๒ ประการ หนึ่งคือง่ายสำหรับการทบทวนโดยไม่ต้องอ่านทั้งหมด และสองเพื่อให้เห็นโครงร่างทั้งหมดของบทเรียนหรือการสัมมนา
  • ส่วนที่ ๓ เรียกว่า Summary Area สำหรับในอนาคตที่เกิดนึกถึงคำถามใหม่ๆ หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง หรืออาจจะไปเจอความรู้ใหม่ๆ ก็นำมาเขียนที่นี่ รวมทั้งอาจใช้เป็นพื้นที่ในการสรุปเนื้อหาก็ได้ โดยส่วนนี้จะถูกอนุญาตให้เขียนเมื่อเวลาผ่านไปนานกว่า ๒๔ ชั่วโมง หรือ ๗ วันแล้ว

[3]

ตัวอย่างของการจดโน้ตแสดงได้ตามรูปที่ ๒ และ ๓

รูปที่ ๒ ตัวอย่างการจดโน้ตแบบ Cornell Note-taking (ภาพจาก 1stopbrainshop.com)

หากนึกไม่ออก ลองนึกถึงเวลาที่เราไปดูภาพยนตร์
ส่วนที่ ๑ ก็คือเนื้อหาภาพยนตร์ที่มีรายละเอียดเยอะมากๆ
ส่วนที่ ๒ คือประเด็นสำคัญๆ ซึ่งเวลาที่เราจะเล่าให้คนอื่นฟังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีเรื่องราวเป็นอย่างไร ก็สามารถเล่าได้จากการเรียงลำดับประเด็นสำคัญๆ เหล่านี้
ส่วนที่ ๓ คล้ายๆ กับบทวิจารณ์ภาพยนตร์หรือความคิดเห็นของเราเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ อาจจะเป็นคำถาม ข้อบกพร่อง หรือความรู้สึกก็ได้นั่นเอง

รูปที่ ๓ ตัวอย่างการจดโน้ตแบบ Cornell Note-taking (ภาพจาก p2sts1011.blogspot.com)

ลองคิดดูครับว่าหลายๆ ครั้ง เราอ่านหนังสือเรียน อย่าว่าแต่จบเล่มเลย เอาแค่จบบทเอง เราแทบจะจำอะไรไม่ได้ ไม่กล้าบอกตัวเองด้วยซ้ำว่าอ่านไปแล้วได้อะไร แต่เวลาที่เราอ่านหนังสือการ์ตูนจบเล่ม เราสามารถเล่าได้เป็นฉากๆ ส่วนหนึ่งก็เพราะหนังสือการ์ตูนมันง่ายกว่า แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพราะตอนที่เราอ่านหนังสือเรียน เราลงรายละเอียดมากเกินไป มากเกินกว่าที่เราจะจำมันได้ ขณะที่การอ่านหนังสือการ์ตูนนั้น เราถอยห่างออกมาจากรายละเอียด แล้วทำความเข้าใจโครงร่างของเรื่อง เราจึงรู้เรื่อง
ส่วนที่ ๒ จึงเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดสำหรับการทำความเข้าใจบทเรียนหรือสัมมนาที่เราเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะมันจะทำให้เราเล่าต่อได้ผ่านคำสำคัญที่ได้สรุปเอาไว้ เหมือนๆ การอ่านหนังสือการ์ตูนนั่นเอง

[4]

ต่อไปนี้เพื่อนๆ ก็จะสามารถใช้ทรัพยากรหน้ากระดาษที่มีอยู่อย่างจำกัดให้มีประสิทธิภาพสูงสุดกันได้แล้วนะครับ
อย่างไรก็ตาม [เสด-ถะ-สาด].com ได้ทำลิงค์ให้ดาวน์โหลด template ของ Cornell Note ไปให้เพื่อนๆ ลองนำไปใช้ดูด้านล่างนี้แล้ว เพื่อนๆ ใช้กันแล้วได้ผลเป็นอย่างไรก็มาเขียนเล่าให้ฟังด้วยนะครับ

2/28/2555

22 เคล็ดลับ ค้นพบตัวเองสู่งานในฝัน



25 วิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

         ทุกคนคงเคยได้ยินว่า "ถ้าได้ทำงานที่ตัวเองรัก คุณจะไม่ต้องทำงานเลยสักวัน"เพราะเราจะไม่รู้สึกว่าการทำงานเป็นเรื่องที่น่าเบื่อเลยสักนาที ในเมื่อมันคือสิ่งที่เรารักทั้งยังช่วยทำเงินได้อีกแน่ะ ลองสังเกตดูดี ๆ คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ก็เพราะทำงานที่ตัวเองรักทั้งนั้นแหละ แค่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ เรื่องเงินก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรแล้ว แต่...การจะรู้ว่าตัวเองชอบอะไรไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ และบางคนกว่าะรู้ตัวก็อาจสายไปแล้ว 

         ดังนั้น ถ้าใครยังไม่ค้นพบตัวเองล่ะก็ ไม่ต้องกังวลไป วันนี้เรามีเคล็ดลับดี ๆ จากเว็บไซต์ dumblittleman.com มาเป็นตัวช่วยค้นหาความฝันของตัวเอง พร้อมวิธีไปให้ถึงฝันมาบอกกันจ้า

 1. เช็คงานอดิเรก

         ลองนึกดูว่าในแต่ละวันคุณชอบทำอะไรบ้าง เช่น วาดรูป เล่นกีฬา อ่านหนังสือ เพราะสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่คุณชอบ และเต็มใจทำโดยไม่ต้องมีเงินเดือน ใครจะรู้ งานอดิเรกของคุณอาจกลายเป็นอาชีพในอนาคตเข้าสักวันก็ได้

 2. พิจารณาความสามารถของตัวเอง

         อย่าพูดว่าคุณไม่มีอะไรเลย ทุกคนมีความสามารถกันทั้งนั้นแหละ แค่แตกต่างกันไปเท่านั้นเอง คุณอาจจะร้องเพลงเพราะ หรือเก่งวิชาไหนเป็นพิเศษตอนเรียน ลองสังเกตุตัวเองดูนะ

 3. เพื่อนร่วมงาน

         ลองถามตัวเองว่าคุณอยากทำงานกับคนแบบไหน เพราะเพื่อนร่วมงานก็เป็นสิ่งสำคัญในการเลือกงานเช่นกัน พวกเขาจะมีผลกับบรรยากาศในที่ทำงานและตัวงานอย่างมากเลยล่ะ

 4. อุปกรณ์

         อุปกรณ์ที่คุณต้องใช้ในการทำงานก็ช่วยให้คุณค้นพบตัวเองได้ไม่ยาก เช่น ถ้าคุณรักการอยู่ท่ามกลางเสื้อผ้า คุณอาจเป็นว่าที่ดีไซเนอร์ ช่างเย็บผ้า และอื่น ๆ

 5. ที่ทำงาน

         คุณอยากทำงานในที่ทำงานแบบไหน บางคนอาจจะอยากนั่งทำงานในออฟฟิศที่มีคอมพิวเตอร์เยอะ ๆ หรือบางคนอาจจะอยากออกไปไหนมาไหนตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้อาจช่วยให้คุณตัดสินใจและแยกประเภทงานที่คุณอยากทำได้ง่ายขึ้น

 6. คุณมีความสุขที่สุดตอนไหน

         ตั้งแต่เด็กจนโต คุณมีความสุขมากที่สุดตอนช่วงวัยไหน ลองนึกย้อนดูว่าช่วงนั้นคุณชอบทำอะไร บางทีคุณอาจจะเจอสิ่งที่ตัวเองชอบมานานแล้ว แต่ไม่เคยรู้ตัวก็ได้

 7. ลองใช้เว็บไซต์ออนไลน์เป็นตัวช่วย

         มีเว็บไซต์ออนไลน์มากมายที่มีบริการช่วยให้คุณรู้จักอาชีพที่เหมาะกับความชอบของตัวเอง โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ลองไปหามาทำกันดู ไม่แน่น๊าา คุณอาจเจออาชีพในฝัน

 8. เขียนความชอบของตัวเอง 5 อันดับ

         ลองจัดอันดับเรื่องที่คุณชอบทำมาซัก 5 ข้อ จะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ที่คุณชอบ ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องที่คุณถนัด และลองลงมือทำสิ่งที่ลิสต์มาดู อาจช่วยเจอเส้นทางที่คุณชอบเข้าก็ได้

 9. เขียนอาชีพที่คิดว่าเหมาะกับตัวเอง 5 อันดับ

         พยายามเขียนอาชีพออกมาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะนึกออก แล้วลองพิจารณาอาชีพที่ตรงกับความชอบในลิสต์นี้ดู อาจเจออาชีพที่ถูกใจคุณก็ได้

 10. จินตนาการ

         ลองนึกภาพตัวเองทำงานในตำแหน่งที่คิดไว้ดูว่าตอนนั้นงานของคุณน่าจะเป็นยังไง เพื่อนร่วมงานและที่ทำงานเป็นแบบไหน แล้วเขียนออกมา จะทำให้คุณรู้ได้ชัดเจนขึ้นว่า คุณชอบและรู้จักงานที่คุณเลือกดีแน่แล้วหรือยัง

 11. วางแผนชีวิต

         ในเมื่อรู้แล้วว่าตัวเองชอบอะไรตอนนี้เราก็ควรวางแผนชีวิตให้ดีเพื่อจะได้มีโอกาสทำในสิ่งที่ชอบ การหมั่นฝึกฝนทุกวัน หรือเลือกคณะเรียนที่เหมาะกับสายงานก็เป็นทางช่วยให้คุณมีโอกาสมากขึ้นเช่นกัน

 12. ปรึกษาผู้อื่น

         ลองปรึกษากับผู้อื่นดูบ้าง เผื่อจะได้ความคิดเพิ่มอีกหลาย ๆ ทางว่าคุณสามารถทำอะไรได้อีกเพื่อให้ได้ทำงานที่ฝัน มันย่อมมีวิธีที่ทำให้คุณได้งานที่คุณต้องการอีกแน่ โอกาสมันมีอยู่เสมอนั่นแหละ

 13. หาข้อมูลอาชีพ

         จะหาอ่านจากเว็บไซต์หรือตามหนังสือก็ได้ เพื่อให้คุณรู้ขอบเขตของงานมากขึ้น จะได้พัฒนาทักษะที่ตัวเองไปในทางทีถูกต้อง

 14. หาข้อมูลผู้ที่ทำอาชีพนี้

         ไปลองอ่านประวัติคนที่ทำอาชีพนั้น ๆ ดู ว่าเขามาทำอาชีพนี้ได้อย่างไร เขามีความสามารถอะไร จะได้เป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเอง และเป็นการศึกษาแนวทางไปในตัวด้วยยังไงล่ะ

 15. ฝึกฝน 

         ฝึกทักษะที่ควรมีให้เก่งยิ่งขึ้น จะลองฝึกที่บ้านทุกวัน หรือจะไปฝึกงานเป็นเรื่องเป็นราวเพื่อให้ได้เรียนงานและเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ตัวเองก็จะดีไม่น้อย

 16. หาแรงบันดาลใจ

         ลองหาบทความเกี่ยวกับผู้คนที่ประสบความสำเร็จมาอ่าน ว่าเขาเจออุปสรรคอะไรมาบ้าง และเขาผ่านมาได้อย่างไร จะได้เป็นกำลังใจให้เรา ในเวลาที่เรารู้สึกท้อแท้

 17. หาแรงผลักดัน

         บางครั้งที่นึกไม่ออก บอกไม่ถูก รู้สึกเฉื่อย ๆ หรือหมดพลัง ก็ลองหาแรงผลักดันใหตัวเองมุ่งมั่นที่จะได้งานนั้นยิ่งขึ้น เช่น สัญญาว่าจะให้รางวัลตัวเองถ้าได้งานที่ฝันไว้

 18. มุ่งไปที่เป้าหมาย

         เมื่อคุณเลือกสายงานนี้แล้วก็จงละความฝันอื่นทิ้งไป เพราะความลังเลทำให้คุณขาดความกระตือรือร้น มุ่งมั่น ที่จะเดินตามเส้นทางที่ตัวเองเลือก จงทำในสิ่งที่คุณปักหมุดไว้อย่างเต็มที่

 19. หาคีย์เวิร์ดสั้น ๆ มาผลักดันตัวเอง

         คิดถึงสิ่งที่คุณต้องมีเพื่อให้ได้งานเพียงสองถึงสามคำสั้น ๆ แล้วเขียนออกมาแปะไว้ในที่ ๆ คุณมองเห็นบ่อย ๆ จะทำให้คุณไม่ลืมจุดยืนความมุ่งมั่นของตัวเอง

 20. จัดเวลาฝึกฝน

         จัดเวลาให้แน่นอนว่าจะใช้เวลาส่วนหนึ่งของทุก ๆ วันฝึกฝนตัวเองในเรื่องใดบ้าง อย่างน้อยแค่วันละครึ่งชั่วโมง หรือใครอยากจะทำมากกว่านี้ก็ได้ ตามแต่สะดวกเลยจ้า

 21. บอกตัวเองว่าเราจะล้มเหลวไม่ได้

         ย้ำกับตัวเองว่าไม่ว่าวันไหนที่เราล้มก็จะสามารถลุกขึ้นมาใหม่ได้ ไม่มีใครล้มไปตลอดกาล และคนที่กล้าเผชิญหน้าเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จ

 22. ใช้ชีวิตเหมือนทุกวันเป็นวันสุดท้าย

         ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าตัวเองจะตายเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นอย่ามัวแต่รอ จงลงมือทำก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ทำ อย่างน้อยก่อนจะถึงวันสุดท้ายของชีวิต เราก็ได้รู้ว่าฝันของเราเป็นจริงแล้ว


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

อันตราย...ถ้าไม่คิดก่อนกิน





อาหารที่เราเลือกรับประทานทุกวันนี้คุณมั่นใจไหมว่า อาหารที่ทานไปนั้นมีความสะอาด มีคุณภาพ และไม่เกิดอันตรายในอนาคต และการมองข้ามเรื่องความปลอดภัย

โดยคำนึงถึงแต่รสชาติ ความอร่อยของอาหาร เราจึงเลือกซื้ออาหารโดยไม่ทันคิด ว่าอาหารแต่ละอย่างนี้ มีวิธีการผลิตอย่างไร และวันหมดอายุเมื่อไหร่ ควรจะเก็บรักษาอาหารอย่างไร 

วันนี้ขอเสนอ ข้อแนะนำจาก ผู้เชี่ยวชาญด้าน เรื่องเกี่ยวกับการทำ GMP ของโรงงานผลิตอาหารต่างๆ
(GMP ย่อมาจาก Good Manufacturing Practice หมายถึง หลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตอาหารเป็นเกณฑ์ หรือข้อกำหนดขั้นพื้นฐานที่จำเป็นในการผลิตและควบคุมเพื่อให้ผู้ผลิตปฏิบัติตามและทำให้สามารถผลิตอาหารได้อย่างปลอดภัย โดยเน้นการป้องกัน และขจัดความเสี่ยงที่อาจจะทำให้อาหารเป็นพิษเป็นอันตรายหรือเกิดความไม่ปลอดภัยแก่ผู้บริโภค)

Clean food มีเกร็ดต่างๆ มาเล่าให้ฟังดังนี้

1. พวกขนมปังปี๊บ กระบวนการผลิตบางแห่งไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นไส้สับปะรด, มันแกวหรือพืชอื่นๆ มักกวนใส่น้ำตาล และใส่กลิ่นกับแกนสัปปะรดไปนิดหน่อย

2. เชอรี่บนขนมเค้กราคาถูกตามตลาดสด คือ มะเขือเปาะฟอกสีจนใสเป็นวุ้น 
แล้วย้อมสีแดง (ผงฟอกสีทำให้เป็นโรคไต) พวกที่ใช้สารฟอกสีอื่นๆ เช่น มะม่วงกวน (แผ่นใสๆ) ยอดมะพร้าวขาวๆ

3. ซูชิในตลาดนัดที่อากาศร้อน แบคทีเรียจะเจริญเติบโตเร็ว ชูชิต้องเสริฟเย็นเท่านั้น

4. เอแคลร์กับลูกชุบ หรือขนมอะไรที่ต้องมีการปั้น ๆ ถู ๆ ต้องพึงระวังสุขอนามัย 
ควรซื้อกับร้านค้าที่รู้จักหรือมีชื่อเสียงเท่านั้น

5. ลูกอมสีอื่นๆ เช่น ฟ้า เขียว ม่วง เป็นสีที่ขายไม่ดีไม่ควรซื้อเพราะใช้สีที่เก็บไว้นาน 
ทานลูกอมสีแดง ขาว ได้

6. ปลายหน้าร้อนต่อต้นหน้าฝน ไม่ควรกินอาหารทะเล เพราะฝนเริ่มตกจะชะฝุ่นบนพื้นดินลงทะเลและสัตว์ทะเลจะกินเข้าไป จะมีแต่ไวรัส แบคทีเรีย โอกาสท้องเสียมีสูง

7. พวกอาหารแพ็คสำเร็จรูป มาอุ่นด้วย microwave ที่บ้าน wave ได้ ครั้งเดียวเท่านั้น
ไม่ควรล้าง Package ภาชนะที่ใส่อาหารมาใช้ด้วยการเข้า microwave ซ้ำเพราะสารพิษจะออกมา

8. โยเกริ์ตต่างๆจะมีแป้งผสมอยู่ประมาณ 20% ควรทานโยเกริ์ต Home made ถ้วยเล็ก ๆ (ลองหยดไอโอดีนพิสูจน์ดูก็ได้ จะพบว่าโยเกริ์ตเป็นสีน้ำเงิน)

9. น้ำปลาเปิดขวดแล้ว ควรมีอายุการใช้ไม่เกิน 1 เดือน

10. ระวังเชื้อราตามคอขวดที่เปิดแล้วต่างๆ

11. กระดาษหนังสือพิมพ์ อย่าเอามาห่อผักแช่ตู้เย็น (เพราะมีสารพิษ จากหมึก)

12. อาหารกระป๋องถ้าใช้ไม่หมดควรเอาออกจากกระป๋องใส่ภาชนะอื่นแช่ตู้เย็น

13. ฟองน้ำล้างจานที่มีน้ำยาผสมน้ำทิ้งไว้ (เป็นน้ำๆ) ทิ้งไว้ได้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง 
แบคทีเรียจะขึ้น ควรเททิ้งไปหรือล้างฟองน้ำให้สะอาดทุกครั้งที่ใช้งาน

14. อาหารหมักดองต้องระวังมีไวรัสที่ทำลายกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง 
ผักกาดดองตามท้องตลาด ในโรงงานบางแห่งจะมีกระบวนการผลิตที่ไม่สะอาด
(ใช้คนลงไปในอ่างดอง เราไม่แน่ใจว่าคนนั้นๆ มีโรคหรือไม่) ควรใช้ผักกาดดองกระป๋องที่เชื่อถือได้

15. เบียร์สดจะไม่กรองยีสต์ที่ตายแล้วออก เราจะกินยีสต์ที่ตายแล้วเข้าไปด้วย
(เบียร์ขวดจะถูกกรองไปแล้ว) ยีสต์ที่ตายและจะเหลือผนังเซลล์ของยีสต์มีประโยชน์เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพ กินได้ไม่เป็นไร 

ความรู้ที่ให้พวกท่านทราบในวันนี้อาจจะเกิดประโยชน์ ในการเลือกอาหารที่ท่านชื่นชอบและวิธีการเก็บรักษาการถนอมอาหารต่างๆ แก่ท่านไม่มากก็น้อย และนี้เป็นเพียงแค่บางส่วนยังมีอาหารอีกมากที่เรายังไม่ทราบกัน แล้วจะนำข้อมูลใหม่ๆ มาอัพเดทให้ทราบกันอีกในโอกาสหน้าค่ะ